สาระน่ารู้

  “ผมพลิกฟื้นดินทุ่งกุลาร้องไห้ให้กลับมามีแร่ธาตุ จนสามารถปลูกพืชผักได้แล้วเริ่มคิดว่า เราทำยังไงถึงจะได้ผลผลิตออกขายทุกวัน เลยทดลองทำในที่ตัวเอง 7 ไร่ครึ่ง ลองผิดลองถูกจนได้วิธีการปลูกผักให้เก็บเกี่ยวได้ตลอด 365 วัน โดยปลูกพืชคละชนิดกัน ไล่ไปตามอายุเก็บเกี่ยว จากนั้นขยายสู่แปลงอื่น ทยอยลงไล่วันกันไป โดยอาศัยปฏิทินเพาะปลูกที่คิดขึ้นเอง” พงษ์พัฒน์ แก้วพะเนาว์ เกษตรกรรุ่นใหม่ จ.มหาสารคาม เผยถึงวิธีบริหารจัดการสวนผักในแบบฉบับของตัวเอง เริ่มจากแบ่งพื้นที่ปลูกออกเป็น 60 แปลง แปลงละครึ่งงาน…ในแปลงเนื้อที่ครึ่งงานจะมีการแบ่งซอยยกแปลงเป็น 7 แถว เพื่อปลูกพืช 7 ชนิดสลับแถวกัน มีทั้งขึ้นฉ่าย, ผักสลัด, หอมแบ่ง, ผักโขมแดง, ผักบุ้งจีน,กะเพรา, โหระพา ผักพื้นบ้าน และผักเครื่องเคียงต่างๆ การนำพืชผักมาลงปลูกใน 1 แถวของ 60 แปลง จะทยอยปลูกห่างกันแปลงละ 1 วัน ส่วนการปลูกพืช 7 ชนิด 7 แถวของแต่ละแปลง จะต้องปลูกห่างกัน 1 สัปดาห์ โดยให้เริ่มจากพืชมีอายุเก็บเกี่ยว 60 […]

  ท่ามกลางข่าวลือเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 3 ไปต่างๆ นานา บางคนก็ภาวนาไม่ให้ไทยเราได้ผลกระทบ บางคนก็จินตนาการไปถึงที่หลบภัย เคยคิดกันเล่นๆ บ้างหรือไม่ว่า ถ้ามันเกิดจริงๆ เราจะไปอยู่ที่ไหนกัน? 10 ประเทศต่อไปนี้แหละเป็นประเทศที่เหมาะสมที่สุดแก่การอพยพไปอยู่!! อันดับที่ 10 สวิตเซอร์แลนด์ มีความเป็นกลางมากที่สุดในโลก อีกทั้งเป็นประเทศที่ล้อมรอบด้วยภูเขาใหญ่ในยุโรป ประชาชนมีที่หลบภัยได้ดี     อันดับที่ 9 ตูวาลู ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างไกลจากทุกสิ่ง เป็นประเทศที่มีความเป็นกลางสูง มีประชาชน มีทรัพยากรธรรมชาติไม่มาก ไม่เป็นที่สนใจในการเข้ายึดประเทศ     อันดับที่ 8 นิวซีแลนด์ มีระบบประชาธิปไตยที่เสถียร ภูมิประเทศล้อมรอบไปด้วยเทือกเขา กำบังที่ดีในภาวะสงคราม ไม่เคยเข้าร่วมสงครามที่ขัดแย้งระหว่างประเทศสำคัญเลย     อันดับที่ 7 ภูฏาน ถูกปิดด้วยเทือกเขาหิมาลัย ภูมิประเทศเหมาะสำหรับการหลบภัย ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา     อันดับที่ 6 ชิลี ชายแดนล้อมรอบด้วยเทือกเขาแอนดีส เทือกเขาที่ยาาวที่สุดในโลก อยู่ในอเมริกาใต้ ยากแก่การเข้ารุกราน   […]

  พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2559 อันนำมาซึ่งความโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวงของปวงชนชาวไทย ในอดีตนั้นพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ เมื่อเสด็จสวรรคตแล้วนั้น จะถูกอัญเชิญบรรจุเพื่อลงประทับสู่พระบรมโกศ ซึ่งมิใช่เพียงแค่พระมหากษัตริย์เท่านั้น และเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2559   สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินถึงพระที่นั่งพิมานรัตยา เสด็จเข้าภายในพระฉาก ซึ่งพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ร.9 บรรทมอยู่บนพระแท่น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระบรมศพบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยกราบถวายบังคมพระบรมศพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงรับขวดน้ำพระสุคนธ์จากเจ้าพนักงาน ถวายสรงที่พระบรมศพ แล้วกราบถวายบังคมพระบรมศพ ทรงรับหม้อน้ำพระสุคนธ์ โถน้ำขมิ้น และโถน้ำอบไทย จากเจ้าพนักงาน ถวายสรงที่พระบาทพระบรมศพ บรรดาปวงชนชาวไทยยังคงสงสัยถึงการบรรจุศพเจ้านายหรือผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้รับเกียรติยศ ในวาระสุดท้าย ก็สามารถได้รับพระราชทานโกศ เพื่อบำเพ็ญกุศลได้เช่นกัน ต่อมาเพจในเฟซบุ๊กแฟนเพจที่ใช้ชื่อว่า คลังประวัติศาสตร์ไทย ได้เผยสาเหตุที่ พระบรมศพ ประทับยังพระหีบ มิได้ลงประทับพระบรมโกศ มิใช่เพราะยกเลิกธรรมเนียม แต่เป็นเพราะ พระราชประสงค์ส่วนพระองค์  ซึ่งเพจดังกล่าว เป็นเพจที่ให้ข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์ของประเทศไทย […]

คนที่ต้องนั่งนิ่งๆทำงานนานๆ บางครั้งก็อาจจะต้องป่วยหรือเจ็บปวดเพราะการนั่งเฉยๆได้เหมือนกัน บางคนอาจจะปวดน่อง ปวดเอว หรือปวดหลังกันบ่อยๆ ถ้าคุณเป็นอยู่ต้องลองฝึกบริหารร่างกายด้วยท่านี้กันเลย…เพราะมันเหมาะมากๆกับการเป็นท่าโยคะแก้ปวดสำหรับคนที่ต้องนั่งนานๆ ต้องทำอย่างไรตามมาดูเลยค่ะ     ท่านี้เรียกว่า Prasarita Padottanasana หรือ  Wide-Legged Forward Bend ถือ​เป็นท่าโยคะแก้อาการปวดน่อง ปวดเอว ปวดหลัง และอาการปวดตึงของกล้ามเนื้อสะบักและคอ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานนานๆหรือต้องนั่งขับรถทางไกล เพราะมันจะช่วยคลายกล้ามเนื้อและทุเลาอาการปวดไปได้   มาดูความหมายของท่านี้กันหน่อย คำว่า Prasarita แปลว่า การยืนกว้าง คำว่า Padottanasana หมายถึงท่าที่ใช้ยืดขยาย ดังนั้น Parāsarita Pādottānāsana จึงแปลว่า การยืนกว้างเพื่อยืดไปด้านหน้า     วิธีทำ 1. นำมือมาจับไว้ที่เอว พับลำตัวลงช้าๆ ให้รู้สึกถึงการยืดตัวของกระดูกสันหลังที่ขยายยาวลงไปด้านล่างตามแรงโน้มถ่วง 2. วางมือทั้งสองข้างลงที่พื้น โดยให้มือทั้งสองห่างกันประมาณบ่า ประคองตัวไว้ให้มั่น อย่าให้โอนเอียงหรือล้ม 3. ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดบนฝ่าเท้า โดยยึดฝ่าเท้าด้วยนิ้วโป้งเท้าไว้ให้แน่น 4. ควบคุมจังหวะด้วยลมหายใจ เมื่อหายใจออกค่อยๆดันกระดูกบริเวณต้นขาเข้าหาลำตัว พร้อมทั้งเก็บหน้าท้องดันขึ้นไป […]

  สำหรับบุคคลในแวดวงทหาร/ตำรวจ อาจจะพอรู้กันมาบ้าง แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วน้อยคนที่จะรู้ว่าเบื้องหลังหมวกทรงสูงๆ สีดำ ที่ใช้ในขบวนสวนสนามราชวัลลภมีอะไรซ่อนอยู่ และมีขั้นตอนวิธีทำอย่างไรถึงดูสูงเนี้ยบ! เงางาม!     รายการกบนอกกะลา เทปวันที่ 25 พ.ย. 48 ได้พาไปเฉลยให้เห็นกันจะๆ แล้วว่า หากแหวกขนจามรีสีดำที่เคลือบทรงหมวกไว้ก็จะเจอ "ตราราชวัลลภ"        และหากเจาะลึกไปถึงขั้นตอนการทำ โดยสรุปแล้วก็คล้ายๆ กับการทำผม นั่นก็คือนำขนจามรีมาจัดการตัด-เซ็ต-จัดทรงให้เข้ากับตัวหมวก โดยมีสเปรย์จัดทรงและอุปกรณ์อื่นๆ ในการทำ           ชมคลิปเฉลยขั้นตอนได้ตั้งแต่นาทีที่ 5.20 เป็นต้นไปได้เลย     ส่วนคลิปเบื้องหลังพิธีสวนสนามในส่วนต่างๆ เช่น ขั้นตอนการคัดนายทหารร่วมพิธี, ขบวนดุริยางค์, การตัดชุด, การฝึกซ้อมบังคับม้า คลิกเข้าไปดูได้ตามคลิปด้านล่างนี้เลย               ขอบคุณข้อมูลจาก : ช่องTvburabhaOfficial

  คงพอจะได้ยินกันบ้างว่าคนที่ถูกเกณฑ์ให้ไปร่วมสงคราม หากไม่ตายในสนามรบ เมื่อปลดประจำการกลับมามักจะมีอาการไม่ปกติ  เช่น ได้รับอาการบาดเจ็บ, พิการสูญเสียอวัยวะ, หรือแจ๊กพ็อตสองเด้ง ทั้งพิการทางกายและทางจิต!! ในทางจิตวิทยา เรียกอาการสติแตกหลังไปร่วมสงครามว่า "Shellshock" (เชลล์ช็อค) ซึ่งอาการจะเป็นในลักษณะที่ติดนิสัยบางอย่างที่ทำเป็นประจำเมื่อตอนเข้ารบ เช่น ทหารบางนายหลังจบสงครามก็หัวสั่น หมุนไปมา แพทย์ทหารต้องเอามือเขย่าหัวจึงกลับเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึน คาดว่านายทหารท่านนี้คงเคยรับหน้าที่อยู่ในพาหนะบางอย่าง เช่น เครื่องบิน, รถถัง ที่มีลักษณะโคลงเคลงได้     นายทหารท่านนี้อาการเบากว่าใครเพื่อน แค่ลุกเดินแล้วเป๋ เสียการทรงตัวบ่อยๆ อาจเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับเส้นประสาทบางส่วน     นายทหารท่านนี้ก็เช่นกัน แต่อาการหนักขึ้นมาหน่อยที่เดินไม่ได้เลย ต้องนั่งรถเข็น ให้แพทย์ทหารทำกายภาพไปด้วย     นายทหารท่านนี้เส้นประสาทบริเวณใบหน้าผิดปกติ ทำให้หน้าสั่นระริกอยู่ตลอดเวลา บางทีหูกระดิกไปด้วย ควบคุมใบหน้าตัวเองไม่ได้     นายทหารท่านนี้น่าจะเคยทำหน้าที่เกี่ยวกับเครื่องบิน เพราะทำท่าทางโบกมือไปมาตลอดเวลา เป็นสัญญาณให้เครื่องบินขึ้น     นายทหารท่านนี้โชคร้ายที่สุด เพราะนอกจากร่างกายจะผิดปกติ ต้องใช้บั้นท้ายกระเถิบเดิน บางทีก็มีจิตหลอนด้วย     มาชมคลิปกัน […]

คอตตอนบัด เป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์ที่ใช้ทำอะไรได้มากมาย โดยเฉพาะเรื่องการทำความสะอาดในที่ซอกแซก ทำให้หลายคนมักใช้คอตตอนบัดเป็นอุปกรณ์ในการทำความสะอาด และนอกจากจะสามารถนำมาใช้เช็ดหูเป็นประจำแล้ว ยังทำมาทำความสะอาดพื้นที่เล็กๆ แคบๆ ได้อีกมากมาย แต่สิ่งที่คุณทำอยู่อาจไม่ถูกต้องนัก เพราะความเป็นจริงแล้ว คอตตอนบัดไม่ควรนำมาเช็ดหูเลย เพราะมีอันตรายและความเสี่ยงต่ออวัยวะที่ใช้ในการฟังมากๆ…จะมากแค่ไหน? มาหาคำตอบที่คุณกำลังสงสัยอยู่ได้เลยค่ะ     เหตุผลที่ไม่ควรใช้คอตตอนบัดในการปั่นหู ก็เพราะเหตุผลดังนี้… โดยปกติแล้ว ขี้หู หรือ earwax ถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่หูจะต้องผลิตออกมาตลอดเวลา เพื่อเป็นตัวช่วยป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหู ดังนั้น วิธีการทำความสะอาดหูที่ถูกต้อง จึงไม่จำเป็นต้องใช้คอตตอนบัดเขี่ยเข้าไปในรูหู เพียงแค่ใช้คอตตอนบัดหรือสำลีอื่นๆ เช็ดบริเวณรอบนอกรูหู หรือปากรูหูก็พอ เพื่อทำความสะอาดในกรณีที่หูสกปรก หรือขี้หูไหลออกมานอกรูหูเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม หากใช้คอตตอนบัดเข้าไปปั่นในหู หากควบคุมแรงไม่ได้อาจจะแคะหูจนเพลิน จนเกิดเป็นแผลหรือแก้วหูทะลุได้     Dennis Fitzgerald แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรค คอ หู จมูก ยังยืนยันอีกว่า พบผู้ป่วยที่มีปัญหากับหู จากการใช้คอตตอนบัดในรูหูอยู่ตลอดเวลา และได้แนะนำให้หยุดใช้ทุกครั้ง นอกจากนี้ เว็บไซต์ independent ของประเทศอังกฤษยังกล่าวว่า…คอตตอนบัดที่ผลิตอยู่ในประเทศอังกฤษจะมีคำเตือนอยู่ข้างผลิตภัณฑ์เสมอ ว่าห้ามใช้ทำความสะอาดข้างในรูหู แต่คนส่วนมากไม่ค่อยจะใส่ใจเท่านั้นเอง     […]