ของกินเหล่านี้ กินแล้วไม่อ้วนแถมพุงยุบ!!!

Advertisement ปัจจุบันโรคอ้วนกลายเป็นโรคฮอตฮิตของวัยรุ่นไทยมากขึ้น จากการกินของหวานของจุกจิกมากตลอดทั้งวัน ส่งผลให้น้ำหนักขึ้นแถมตามมาด้วยโรคภัยต่างๆอีกด้วย วันนี้เราจะมาแนะนำอาหารที่ทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน แถมช่วยให้พุงยุบอีกต่างหาก เราไปดูกันเลยครับว่ามีอะไรบ้าง  Advertisement ไข่ต้ม เนื่องจากมีผลวิจัยใหม่ๆออกมาหลายผลวิจัยแล้วว่าไข่ต้ม มีส่วนช่วยในการลดไขมันได้ ตัวของไข่ขาวเองก็เป็นโปรตีนจากธรรมชาติล้วนๆมีสรรพคุณคือทำให้เราไม่ดูโทรมเวลาที่เราลดน้ำหนัก แถมเป็นอาหารลดความอ้วนที่ได้ผลแบบชะงัก ทูน่า การหาทูน่ามารับประทานนั้นสมัยนี้เป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ เพราะมีอยู่ทุกที่ตามร้านสะดวกซื้อ การรับประทานทูน่านั้นทำให้เราอิ่มเพราะโปรตีนเน้นของมัน แถมได้คุณค่าจาก โอเมก้า 3 ที่ช่วยต้านความแก่ชรา สิ่งที่แนะนำคือให้รับประทานทูน่าในน้ำเกลือหรือน้ำแร่จะดีกว่าทูน่าในน้ำมันพืชมาก!! มะนาว เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกหิว ลองฝานมะนาวซักซีกแล้วบีบเข้าปาก ความขมและความเปรี้ยวจากสารพิเศษของมะนาวนั้นจะทำให้หายหิวได้หลายชั่วโมง Advertisement แอปเปิ้ลเขียว สุดยอดผลไม้ลดน้ำหนัก!! เพราะมีพลังงานที่ต่ำมากและอุดมไปด้วยไฟเบอร์และแพคตินที่ช่วยทำให้เราอิ่มได้โดยไม่ต้องรับประทานอะไรมากมาย แถมเก็บไว่ได้นาน เมื่อไหร่ที่รู้สึกหิวก็หยิบออกจากตู้เย็น มาล้างๆๆแล้วกัดเข้าไป!! แค่นี้ก็ฟินแถมไร้พุงอีกด้วย ถั่วลิสง อุดมไปด้วยโปรตีนจากธรรมชาติ มีใยอาหาร ใช้รับประทานแทนขนมถุงที่ทำให้เราอ้วนได้ หิวเมื่อไหร่ก็เอาใส่ปาก แปบเดีวก็อิ่มเพราะถั่วก็มีพลังงานที่สูงเช่นกัน  เม็ดแมงลัก สุดยอดอาหารลดพุง ลดน้ำหนักของทุกยุคทุกสมัย ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่สามารถพองตัวได้มีลักษณะคล้ายวุ้นและอุดมไปด้วยวิตามินเอ ในระดับที่สูงมาก เวลารับประทานให้แช่น้ำให้พองตัวเต็มที่ก่อน จึงนำไปรับประทาน เพราะจะทำให้เรานั้นอิ่มโดยที่ไม่ต้องรับประทานอะไรมากมายจากการพองตัวของมันนั่นเอง  อู้หู…เห็นแล้วจะรอช้าทำไมครับ แต่ละอย่างนั้นประโยชน์เยอะๆทั้งนั้น แถมราคาถูกสบายกระเป๋า ไม่ต้องเอาเงินไปซื้อยาลดความอ้วนให้เปลืองเงินและเสี่ยงชีวิต และถ้าได้ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยนี่รับรองว่าหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มอย่างรวดเร็วแน่นอน   เรียบเรียงโดย Thaijobsgov ข้อมูลจาก […]

ไปไงมาไงกัน!? ย้อนดูไทม์ไลน์ชีวิตรัก “เมย์-พิชญ์นาฏ” ก่อนจะลงเอยที่ “เจ-ชนาธิป”

เป็นที่ฮือฮากันพอสมควรสำหรับฟุตบอลไทยแมทช์ล่าสุด ไม่ใช่เพียงเพราะการลุ้นการแข่งขันเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการเปิดตัวคู่รักคู่ใหม่ของวงการฟุตบอลและวงการบันเทิงไปพร้อมๆ กัน เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ เมย์ พิชญ์นาฏ ที่ตอนแรกๆ ก็แค่จิ้นกันไปมาเล่นๆ แต่สุดท้ายก็ลงเอยกันเป็นคู่รักดารา-นักฟุตบอลไปอีกคู่ (ต่อจาก มะนาว-ศรศิลป์ ดาราช่อง 7 และ ตอง-กวินทร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติไทย) ซึ่งทั้งคู่ก็เพิ่งจะออกมายอมรับว่าคบหาดูใจกันมาหลายเดือนแล้ว เพียงแต่ไม่อยากเปิดเผยอะไรมากก็เท่านั้นเอง   แต่กว่าที่ดาราสาวจะลงเอยกับนักฟุตบอลหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเธอตั้ง 12 ปี ในวันนี้ เธอก็ช้ำรักมานับไม่ถ้วน ถ้าพูดถึงคนในอดีตของเธอแล้วโปรไฟล์เริ่ดๆ ทั้งนั้น และเมสซี่เจเองก็ไม่ใช่หนุ่มคนแรกที่เป็นนักกีฬาและอายุน้อยกว่าเธอ (ทั้งที่ครั้งหนึ่งเธอเคยแก้ข่าวว่าไม่ชอบผู้ชายอายุเด็กกว่า!!) 1. โอ๊ค กมลพัทธ์ พหลโยธิน  เมย์เปิดตัวด้วยการคบหาดูใจกับ โอ๊ค กมลพัทธ์ หนุ่มไฮโซนามสกุลดัง ซึ่งในตอนนั้น ได้มีภาพปาปารัสซีตามไปถ่ายภาพของเมย์และโอ๊คขณะไปกินข้าวกันที่โรงแรมหรู ย่านใจกลางกรุง จนทั้งสองคนเมื่อเห็นช่างภาพก็ถึงกับปล่อยมือและทำทีเหมือนไม่ได้มาด้วยกัน แต่สุดท้าย ความรักของเมย์และโอ๊คก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน จบลงที่คำว่าเพื่อน 2. บอล ภราดร ศรีชาพันธุ์ เมย์เคยออกเดทควงคู่กับบอล ภราดร มาระยะหนึ่ง โดยมีข่าวว่าทั้งสองคนไปดินเนอร์ด้วยกัน ควงกันไปเที่ยวพัทยา แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ไปไม่ถึงไหน และในระหว่างนั้นก็มักจะมีข่าวของเมย์ พิชญ์นาฏ กับหนุ่ม ๆ […]

เมียหนี-เงินไม่มี พ่อพามาลาออก ครูหนุ่มน้ำใจงามหาที่อยู่ใหม่ให้พร้อมช่วยเหลือถึงที่สุด

ปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เพราะมันส่งผลต่ออนาคตของเด็กโดยตรง แต่ใครจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องแล้วแต่ความสะดวกของทั้งสองฝ่าย แต่สำหรับเคสของครูเปา เฟซบุ๊กPrapakorn Pantong เขาคือครูคนหนึ่งที่ช่วยเด็กนักเรียนอย่างสุดกำลังความสามารถจริงๆ แม้ว่าผู้ปกครองของเด็กจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่ค่อยโปร่งใสมากนัก โดยครูหนุ่มคนดังกล่าวได้เล่าในเฟซบุ๊กของตนเองเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมานี้ว่า  วันนี้มีผู้ปกครองคนหนึ่ง มาลานักเรียนออก เค้ามีลูกสาวสองคน คนหนึ่งอยู่อนุบาล 2 อีกคนหนึ่งอยู่ ป. 3 โรงเรียนก็เลยถามโรงเรียนเป้าหมายว่าจะย้ายไปที่ใด จะได้ทำหนังสือย้ายไปถูก ผู้ปกครองก็อ้ำอึ้ง ไม่รู้ บอกแต่จะกลับบ้านย่าที่อยู่อำเภอพระพุทธบาท ก็เลยได้คุยกับผู้ปกครองต่อไป (เรื่องที่จะเล่าดังต่อไปนี้ เล่าเพื่อเป็นกำลังใจและเพื่อให้คนที่ท้อแท้นั้นได้สู้ต่อไป) พ่อแม่และลูกสาวทั้งสองเคยเป็นครอบครัวที่มีความสุขตามอัตภาพ ที่ จ.ปราจีนบุรี พ่อทำงานเป็นช่างเชื่อม และแม่เป็นแม่บ้าน ครอบครัวอยู่กันแบบพออยู่พอกิน ไม่ได้ลำบาก จนมาพ่อเกิดอุบัติเหตุตกจากที่สูง ทำให้ต้องรักษาตัว แล้วจึงย้ายกลับมาอยู่บ้านย่าที่อำเภอพระพุทธบาท พ่อก็ยังหางานทำรับจ้างทั่วไป (ร่ายกายดีขึ้น แต่เกิดการหวาดกลัวงานในที่สูง) หลังจากนั้นได้ยินข่าวว่าที่บริษัทโรงปูนเค้ารับสมัครพนักงาน จึงหอบลูกสาวทั้งสองและเมียมาอยู่ที่แก่งคอย พ่อเค้าจึงนำลูกสาวทั้งสองมาสมัครเรียนที่โรงเรียนเทศบาลทับกวาง 1 (สมุห์พร้อม) คนแรกเรียนอยู่ชั้นอนุบาล 2 อีกคนเรียนป.3 (แต่น้องเค้าอายุ 12 แล้ว ตามเกณฑ์จะต้องอยู่ชั้น ป.6 หรือ […]

ข้อความจากแม่ถึงลูกสาวที่อยู่ไกลบ้านและกำลังท้อหนักมาก

ไม่ใช่เพียงแค่วัยทำงานเท่านั้นที่ต้องดิ้นรนออกมาทำงานไกลบ้าน ไกลพ่อแม่ แม้แต่เด็กวัยเรียนหลายคนก็จำเป็นต้องจากมาเพื่อโอกาสของอนาคตที่ดีกว่านี้ หลายครั้งต้องกดดัน โกหกพ่อแม่ว่าสบายดีทั้งที่ใจมันไม่ไหวจริงๆ … อย่าโกหกเลย พ่อแม่ทุกคนรู้หมดแหละว่าลูกตัวเองเป็นยังไง ลองอ่านเรื่องราวของสมาชิกหมายเลข 3052320 เว็บไซต์http://pantip.com/topic/35246863 นึกถึงพ่อแม่คนที่ตัวคุณเองรัก แล้วกอดท่านแน่นๆ พูดคุยอะไรสักนิด หรือขอกำลังใจกันดูนะ พลังใจของพ่อแม่ยิ่งใหญ่จริงๆ  (ส่วนใครที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว คุยกับรูปท่าน หรือระบายกับลมฟ้าดูสิ ท่านอาจมองเรา ส่งพลังใจจากข้างบนอยู่ก็ได้) ————————– ตอนนี้เราและพี่สาว กำลังเรียนอยู่ค่ะ เราขึ้นปี2 พี่สาวปี5(กำลังฝึกงานแล้ว) เราทั้งคู่เลือกเรียนไกลบ้านค่ะ ถ้าคนที่เรียนไกลบ้านจะรู้ว่ามันเหงา เคว้งคว้าง และหว่าเว้แค่ไหน TT วันนึงนอนอยู่ ตื่นขึ้นมาเพราะไลน์เข้าอย่างสนั่นหวั่นไหว เลยต้องตื่นมาอ่านว่าเขาคุยอะไรกัน ปรากฏว่าเป็นไลน์ครอบครัว เป็นข้อความจากพี่สาวประมาณว่า เหนื่อย ท้อ จะร้องไห้ ไม่ไหวแล้ว บลาๆๆๆ แม่ก็ถามกลับมาว่า เป็นไร .. และหายจากการสนทนาไปสักพัก และกลับมาพร้อมกลับส่งรูปมาให้ *Mom ส่งรูปภาพถึงคุณ* (ต่อไปนี้เป็นการถอดลายมือโดยแอดมินThaijobsgovเองเพื่อให้อ่านได้ใจความมากขึ้นสำหรับคนที่อ่านไม่ออก หากแอดมินถอดความจากลายมือผิดต้องขออภัย) ไง.. ท้อแล้วหรอ สู้ๆ ซิ แค่นี้เองอดทนเอา จะจบอยู่แล้วปีเดียวเอง แม่ก็เคยท้อนะแต่แม่ไม่เคยถอยแม้แต่ก้าวเดียว ในเมื่อมีโอกาสแล้วก็ทำให้ได้ แม่ลำบากยิ่งกว่านี้ไม่เคยถอย แต่แม่ไม่มีโอกาสจะได้เรียน ออกจาก ป.6 […]

“รองเท้าส้นสูง”…ความสวยที่อาจคร่าชีวิต!!

รองเท้าของสาวๆคือเครื่องแต่งกายอย่างหนึ่ง ซึ่งมีมากมายหลายราคาหลายแบบหลายดีไซน์ เรียกว่านับกันไม่หวาดไม่ไหว มีทั้งส้นตึก ส้นเข็ม ส้นเตี้ย ส้นสูง โอยยเยอะ!! แต่ใครจะไปคิดหละครับว่า"รองเท้า"นี่แหละทำให้หัวใจของสาวๆหยุดเต้นได้ ดร.นพ.กิติพันธ์ วิสุทธารมณ์ ผู้อำนวย การโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ย้ำชัดว่า สาวๆที่นิยมใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ และต้องยืนเป็นเวลานานควรระวังปัญหาด้านสุขภาพที่อาจตามมาไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเส้นเลือดขอด, อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, โรคข้อนิ้วหัวแม่ เท้าเสื่อม, เป็นตาปลา และเล็บขบ นอกจากนี้ อาการเส้นเลือดขอดยังเป็นภัยเงียบ ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาลิ่มเลือดหลุดไปที่หัวใจ!!! เนื่องจาก “เส้นเลือดขอด”เป็นความผิดปกติ ที่เกิดขึ้นกับเส้นเลือดดำ ทำให้ผนังเส้นเลือดดำหย่อนตัว เกิดได้กับเส้นเลือดดำที่อยู่ตื้น ขนาด 4-5 มิลลิเมตร บริเวณปลายเท้าและขาหนีบ รวมถึงเส้น เลือดดำขนาด 10-15 มิลลิเมตร ที่อยู่ลึกจนมองไม่เห็น ซึ่งหน้าที่หลัก ของเส้นเลือดดำคือ รับเลือดจากเส้นเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อ ส่งกลับเข้าสู่หัวใจ หากเกิดความผิดปกติกับเส้นเลือดดำ ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายจะทำงานได้ไม่สมบูรณ์ และส่งผลต่อโรคหัวใจ โดยตรง  โดยเส้นเลือดขอดนี้เกิดมาจากการยืนต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ยิ่งสาวๆที่ชอบใส่รองเท้าส้นสูง และต้อง ยืนเป็นเวลานานๆด้วยแล้ว ทำให้ขาต้องรับ บทหนัก และเกิดการกดทับ สาวๆท่านไหนที่มีอาการปวดขา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคตั้งแต่เนิ่นๆ มิฉะนั้น อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต […]

สาวๆต้องระวัง!!อาหารทำลายผิวพรรณพวกนี้

สาวๆทุกคนหรือหนุ่มๆหลายคนก็อยากจะมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง สว่างขาวใสเป็นยองใยแสงไฟนีออนกันใช่มั้ยหละครับ เพื่อบุคลิกภาพที่ดี ไปไหนก็มีแต่ผู้คนให้ความสนใจ บางครั้งมีผลต่องานบางอาชีพอย่างเช่น พริตตี้หรือMC ด้วยนะครับ วิธีการบำรุงรักษาผิวเราก็คงทราบกันไปมากแล้ว วันนี้เรามารู้จักตัวทำลายผิวพรรณของเรากันบ้างดีกว่านะครับ นั่นก็คือ"อาหาร"ครับ เอ๊ะ!!อาหารเนี่ยนะ ทำลายผิวของเรา? เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เรามารู้จักกันเลยดีกว่าครับ    อาหารที่มีสีย้อมผ้า  อาหารชนิดนี้ก็คือ อาหารที่มีสีสันที่สดใส ดึงดูดให้คนซื้อรู้สึกว่าน่ารับประทาน ไม่ว่าจะเป็นลูกกวาด ลูกอม หมากฝรั่ง ขนมไทย(ที่ใส่สีจนดูสดใสแปลกตา) เบเกอร์รี่ น้ำหวาน อาหารพวกนี้จะเจือปนสารพิษ ทำให้ไม่ดีต่อสุขภาพผิวพรรณและร่างกายของผู้รับประทาน   อาหารที่มีผงกรอบ หรือสารบอแร๊กซ์ อาหารประเภททอดต่าง เช่น ลูกชิ้น หมูยอ กล้วยทอด เผือกทอด มันทอด ผักทอด เป็นต้น ถึงแม้ว่ามันจะหาซื้อรับประทานง่ายแต่มันก็อุดมไปด้วยความ"ไม่คลีน"นะจ๊ะ ไหนจะน้ำมันชุ่มๆ อาจจะเป็นน้ำมันเก่าใช้ซ้ำอีก หรือมีสารบอแร็กซ์ที่ช่วยให้กรอบกรุบๆ สิ่งเหล่านี้ทำลายผิวพรรณและสุขภาพของสาวๆอย่างแน่นอนครับ อาหารที่มีดินประสิว อาหารจำพวก แหนม หมูยอ กุนเชียง เนื้อวัว แล้วก็เนื้อเค็มเหล่านี้มีสารพิษต่อร่างกายและผิวพรรณที่ค่อนข้างมาก เพราะอาหารพวกนี้นี้ใส่สีแดงดูสวยงามน่ารับประทาน อาหารที่มีสารตัดแต่งพันธุกรรม (GMOs) สารชนิดนี้นั้นมีไว้เพื่อเพิ่มขนาดให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น มากขึ้น พอได้ปริมาณที่มากขึ้นก็มีราคาที่เพิ่มขึ้น และผู้ขายก็มีกำไรที่เพิ่มมากขึ้นด้วย อาหารที่ส่วนใหญ่ได้รับสารชนิดนี้ก็คือ ผัก […]

เทคนิคการทำข้อสอบ(คณิตศาสตร์)ง่ายๆ ภาค ก สำหรับทุกสนามสอบ!!

หมายเหตุ : รายละเอียดที่ปลีกย่อยมากกว่านี้ เช่น ข้อสอบที่มีเฉพาะหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง และวิชาอื่นๆ ต้องไปหาหนังสือข้อสอบโดยเฉพาะกันเองนะจ๊ะ คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดไฟล์เอกสารทั้งหมด หรือ https://drive.google.com/file/d/0BzGCqoelBKR3Znc2LUF3S2hiNDA/view

สลาก ธ.ก.ส. VS สลากออมสิน มาดูกันว่าผลตอบแทนและโอกาสถูกรางวัลใครจะมากกว่ากัน

ในภาวะที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำเตี้ยติดดิน สลาก ธ.ก.ส. และสลากออมสิน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ (เพราะมันคือการลงทุนต่อยอดเงินที่ความเสี่ยงต่ำ ไม่ขาดทุน แถมยังลุ้นรางวัลได้ด้วย ต่างจากหุ้นหรือการลงทุนประเภทอื่นที่แม้จะผลตอบแทนดี แต่ก็มีความเสี่ยงสูง) ลองมาดูผลตอบแทนและโอกาสในการถูกรางวัลเปรียบเทียบกันดู ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้อสังเกต – ถ้าซื้ออย่างน้อย 500,000 เท่ากัน อัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ จะได้ดอกเบี้ย+รางวัลเลขท้าย  ธ.ก.ส. จะดีกว่า – แต่ถ้าซื้อต่ำกว่านี้ ธ.ก.ส. 0.83% ต่อปี ออมสิน 0.667 % ต่อปี  ส่วนการถูกรางวัลก็แล้วแต่ดวง – ข้อเด่นคือ ธ.ก.ส. ได้ลุ้นรางวัลใหญ่กว่า แต่ต้องฝากครบ 3 ปีถึงจะได้ดอก ส่วนออมสินถอนก่อนก็ได้ดอกตามอัตราส่วน – จำนวนเงินที่ทำให้ผลตอบแทนขั้นต่ำต่อปีแตกต่างกันคือซื้อเลขติดกันอย่างต่ำ 5 แสน, 5 ล้าน หรือ 50 ล้าน ขอบคุณข้อมูลจาก Hyperreality เว็บไซต์ http://pantip.com/topic/35243802 เรียบเรียงใหม่โดย Thaijobsgov    

“ไขมันพอกตับ”…คุณก็อาจจะเป็นโรคอยู่ก็ได้!!

ไขมันพอกตับคือโรคที่เกิดจากการสะสมของไขมันในตับที่มากเกินไปจนทำให้ตับทำงานผิดปกติ เอกสารทางการแพทย์พบว่าโดย 20% ของคนที่เป็นโรคอ้วนมักจะเป็นโรคไขมันพอกตับ รวมถึงผู้ที่มีดัชนีมวลกาย BMI 25-30 หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากนั่นเอง                แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดโรคนี้หละ!!? 1. การดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ เป็นประจำและมากเกินไปหรือดื่มจัดนั่นเอง 2. ดื่มน้ำสะอาดน้อยเกินไปหรือการดื่มน้ำหวานแทนน้ำเปล่า  3. การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว 4.ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง และสภาวะขาดอาหารสามารถทำให้เกิดโรคไขมันพอกตับได้รวมถึงการรับประทานอาหารที่มากเกินไป ไขมันพอกตับจะแบ่งความรุนแรงของโรคเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะแรก เริ่มมีอาการสะสมไขมันที่ตับมากกว่าปกติ แต่ยังไม่ส่งผลเสียใด ระยะที่สอง เริ่มพบการอักเสบที่ตับ หากไม่รีบรักษาหรือดูแลตัวเองและปล่อยให้เป็นนานถึง 6 สัปดาห์จะทำให้เกิดอาการตับอักเสบเรื้อรัง ระยะที่สาม เซลล์ตับจะค่อยๆถูกทำลาย เพราะการอักเสบมีความรุนแรงขึ้น และเกิดพังผืดขึ้นในตับ ระยะที่สี่ ตับไม่สามรถทำงานได้อย่างปกติอีกต่อไป เพราะเซลล์ตับถูกทำลายลงไปมาก อาจทำให้เปลี่ยนเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับในที่สุด "แม้ว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะไม่แสดงอาการให้เห็นหรือรู้ตัวมาก่อน หรือหากมีอาการก็ไม่สามารถรู้ได้ว่ากำลังเป็นโรคนี้อยู่ เช่น มีอาการคลื่นไส้อาเจียนเป็นบางเวลา รู้สึกอ่อนเพลียบ่อยๆ และรู้สึกเจ็บๆตึงๆบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา เป็นต้น"   เราจะสามารถป้องกันโรคนี้ได้อย่างไร?  1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นกากใยสูง ไขมันต่ำและให้พลังงานต่ำ 2.ควรออกกำลังเป็นประจำและสม่ำเสมอ […]

ศาสตร์จากอินเดีย!!บ้วนปากด้วยน้ำมันมะพร้าว ขจัดกลิ่นปาก

การบ้วนปากด้วยน้ำมันจากพืช เพื่อขจัดกลิ่นปากและรักษาโรคภายในช่องปากนั้นเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นตามทฤษฎีออยล์พูลลิ่ง(Oil Pulling) หรือการใช้น้ำมันจากพืชเป็นตัวช่วยบำบัดโรคภายในช่องปาก เป็นความเชื่อที่ได้รับการสืบทอดต่อเนื่องยาวนานมานับพันปีจากประเทศอินเดีย วิธีการนี้ก็คือ ใช้น้ำมันมะพร้าวอมไว้ภายในปาก จากนั้นค่อยๆ กลั้วน้ำมันมะพร้าวให้ทั่วช่องปากเป็นเวลาประมาณ 15-20 นาที จึงบ้วนทิ้ง ความเชื่อนี้ยังได้รับความน่าสนใจมากขึ้นเมื่อมีนักชีววิทยาท่านหนึ่งได้ทำการศึกษาและได้อธิบายถึงความสามารถในการบำบัดโรคของน้ำมันมะพร้าวเอาไว้อย่างชัดเจนตามหลักของวิทยาศาสตร์ เพราะในปากของเราเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียจำนวนมากมาย การแปรงฟันนั้นไม่ได้ช่วยให้แบคทีเรียเหล่านี้ออกไปได้หมด โดยเฉพาะตามซอกฟันและซอกเหงือก แม้จะพยายามทำความสะอาดด้วยขนแปรงานแค่ไหนก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ การใช้น้ำยาบ้วนปากก็เป็นเพียงตัวช่วยดับกลิ่นปากเพียงชั่วคราวเท่านั้น  เมื่อกลั้วปากด้วยน้ำมันมะพร้าว โมเลกุลขนาดเล็กจะแทรกตัวเข้าไปตามซอกฟันและซอกเหงือก แม้ในส่วนที่เข้าถึงได้ยาก ส่งผลให้เชื้อโรคที่หลบซ่อนตัวอยู่ถูกรวมอยู่ในน้ำมันมะพร้าว ซึ่งเมื่อบ้วนน้ำมันมะพร้าวที่ได้ออกมาจะพบว่ามีลักษณะเป็นสีขาวขุ่นอมเหลือง จากเดิมก่อนอมจะมีสีขาวใส เมื่อใดก็ตามที่เราอมน้ำมันมะพร้าวเข้าไว้ในปากจะส่งผลให้ผนังเซลล์ของเชื้อโรคดึงดูดมาติดกับน้ำมันมะพร้าว  อีกทั้งเศษอาหารขนาดเล็กยังสามารถหลุดออกมากับน้ำมัน ช่วยให้ช่องปากได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ ลดปัญหาเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุและกลิ่นปาก  โอ้ว…ได้ทราบแล้วรู้สึกทึ้งกับภูมิปัญญาของชาวอินเดียมากๆ แถมวิธีนี้ก็เป็นวิธีธรรมชาติที่ไม่มีการพึ่งสารเคมีแต่อย่างใด ส่งผลดีต่อช่องปากอีกด้วยครับ ลองเอาไปทำกันดูนะครับ เพื่อความมั่นใจในลมหายใจอันหอมสดชื่นของเรา   เรียบเรียงโดย Thaijobsgov ข้อมูลจาก organicbook.com ภาพจาก google.com [ads=center]

1 2,871 2,872 2,873 2,883
error: