ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน … เรื่องที่หลายๆ ท่านอาจจะมองข้ามไป





ผมเชื่อว่าเราคงเคยได้ยินญาติ คนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน หรือความเห็นตามเว็บต่างๆ ในทำนองนี้กันมาบ้าง

"มีเงินเดือน xx,xxx บาท อยากจะผ่อนคอนโด เสียดายเงินค่าหอพัก"
"จ่ายค่าหอเดือนละ x,xxx บาท มา x ปีแล้ว นี่ถ้าผ่อนคอนโดคงไม่สูญเปล่าแบบนี้หรอก"
ฯลฯ

 

ซึ่งถ้าเราหาซื้อที่อยู่อาศัยด้วยเงินสด ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินจากธนาคารแล้วคงไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดอะไรมากเรื่องดอกเบี้ย แต่หลายๆคนมิได้มีฐานะและเงินทองเช่นนั้น บางคนพึ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน ไม่มีทรัพย์สินติดตัวมาจากที่ไหน บางคนอาจจะย้ายถิ่นฐานมาทำงานในเมืองใหญ่ จึงทำให้เวลาอยากมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองแล้วก็ไม่พ้นต้องกู้เงินจากธนาคาร ซึ่งเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้เนี่ย เป็นเรื่องที่ผมพบมาจากหลายๆคนว่ามักจะลืมนึกถึงไป 
 

อันที่จริง คนส่วนใหญ่ที่ผมเจอตัดสินใจกู้เงินมาซื้อที่อยู่อาศัยโดยพิจารณาว่า "เค้าสามารถผ่อนไหว" ซึ่งผมมองว่ามันยังไม่ถูกต้องซะทีเดียว ทำให้ต้องอธิบายกับหลายๆ คนอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อวานผมไปเจอความเห็นทำนองนี้ในเว็บๆ นึง เลยเขียนกระทู้อธิบายไป แต่คิดว่าอาจจะมีประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย เลยขอนำมาลงทีนี่ด้วยละกันนะครับ 

 

หมายเหตุ : 
– หากข้อมูลตรงไหนผิดพลาด ท้วงติดได้เสมอนะครับ จะแก้ไขให้ถูกต้องครับ
– ขอเน้นไปที่ดอกเบี้ยบ้านเป็นหลักก่อนนะครับ จริงๆมีเรื่องค่าส่วนกลาง การซ่อมบำรุง การตกแต่ง ฯลฯ อีกหลายอย่างที่เป็นรายจ่ายเวลาเป็นเจ้าของบ้านและคอนโดอีก


——————————————-


ปรกติแล้วเนี่ย เวลาเราสนใจคอนโดซักห้องนึง (รวมถึงบ้านด้วย) มันมักจะมีประโยคที่เซลล์ชอบพูดกับเราเพื่อล่อให้เราจองคือ "ผ่อนประมาณล้านละ 7 พัน"

ความหมายของประโยคนี้คือ 
– ถ้าสมมุติเราสนใจคอนโดราคา 1 ล้านบาท เราจะผ่อนประมาณ 7,000 ผู้กู้ควรมีรายได้สุทธิ 15,000 ขึ้นไป
– ถ้าสมมุติเราสนใจคอนโดราคา 2 ล้านบาท เราจะผ่อนประมาณ 14,000 ผู้กู้ควรมีรายได้สุทธิ 28,000 ขึ้นไป
– ถ้าสมมุติเราสนใจคอนโดราคา 3 ล้านบาท เราจะผ่อนประมาณ 21,000 ผู้กู้ควรมีรายได้สุทธิ 42,000 ขึ้นไป

** ปรกติเวลาขอกู้สินเชื่อบ้านเนี่ย มีปัจจัยในการพิจารณาหลายอย่าง แต่ในเบื้องต้น ผู้กู้ควรมีรายได้อย่างน้อยๆ 2 – 2.5 เท่าของค่างวดต่อเดือน

 

***รายได้สุทธิคือ เงินเดือน + โบนัสเฉลี่ยเป็นรายเดือน + ค่าต่างๆ – ค่างวดของเงินกู้อื่นๆ เช่น

สมมุติผมมีเงินเดือน 1 แสนบาทโบนัส 2.4 แสนบาท แต่ผมผ่อนรถคันละ 2 หมื่น ผ่อนบ้านให้พ่อ 4 หมื่น ผ่อนคอนโดให้น้อง 1.5 หมื่น สรุปคือผมมีรายได้สุทธิ

100,000 + (240,000 / 12) – 20,000 – 40,000 – 15,000 = 45,000 บาท

ซึ่งล้านละ 7 พัน เป็นตัวเลขกลมๆที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับเวลากู้จริงๆครับ เพราะคอนโดผม 2 แห่งที่เคยทำเรื่องกู้มาคือ
– ที่แรกของน้องชายผมกู้ 3.56 ล้าน ผ่อนเดือนละ 25,600 กว่าบาท ตกประมาณ ล้านละ 7 พันนิดๆ
– ที่ๆสองของผมกู้เอง 2.3 ล้าน ผ่อนเดือนละ 15,300 บาท ตกประมาณ ล้านละเกือบ 7 พัน

 

ซึ่งประโยคล้านละ 7 พันเนี่ย เป็นประโยคที่ทำให้หลายๆ คนหลวมตัวจองคอนโดและบ้านมาบ้างแล้ว เพราะบางท่านคิดว่าคอนโด 2 ล้าน ผ่อนแค่ 14,000-15,000 ตนมีรายได้ 28,000 บาท น่าจะผ่อนสบายๆ เพราะมีรายได้ 2 เท่าของค่างวดแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วการมีรายได้ 2 เท่าของค่างวด เป็นการบ่งชี้ (แบบคร่าวๆ) ว่าคุณพอจะมีสิทธิกู้ผ่าน (แต่เวลากู้จริงจะผ่านไม่ผ่าน มีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีกครับ) แต่ … ประเด็นคือ สมมุติว่าคุณมีรายได้ 28,000 ควรจะกู้ซื้อคอนโดราคา 2 ล้าน หรือเปล่า .. ลองดูตัวอย่างข้างล่างนี่ครับ

 

หมายเหตุ : โปรแกรมคำนวนเงินกู้ผมโหลดมาจาก 
http://software.thaiware.com/3620-Loan-Calculator.html
ขอขอบคุณ คุณภวัต ภูริชัยนาม ผู้อัพโหลดโปรแกรมขึ้นบนเว็บดังกล่าวด้วยครับ

 

1423020748-TGGvlW-o

 

นี่คือการคำนวนผ่อนคอนโดของผมเองครับ วงเงินกู้ 2.3 ล้านบาท 
(ทุกแบบผมกำหนดให้ดอก 0% 3 เดือนแรก เดือนที่ 4 – 12 ดอกพิเศษ 4.75% หลังจากนั้น MLR – 1%)

แถวที่ 1 เป็นการคำนวนในกรณี ที่ผมส่งเดือนละ 15,300 กว่าบาท
ถ้าผมส่งด้วยยอดนี้ไปเรื่อยๆจะ
– ใช้เวลา 22 ปี 7 เดือน กว่าจะปิดต้นที่กู้มาได้หมด
– โดนดอกเบี้ยไปประมาณ 1.68 ล้านบาท

แถวที่ 2 เป็นการคำนวนในกรณี ที่ผมส่งเดือนละ 25,700 กว่าบาท
– ใช้เวลา 9 ปี 10 เดือน กว่าจะปิดต้นที่กู้มาได้หมด
– โดนดอกเบี้ยไปประมาณ 6.5 แสนบาท

แถวที่ 3 เป็นการคำนวนในกรณี ที่ผมส่งเดือนละ 38,428 กว่าบาท
– ใช้เวลา 5 ปี 10 เดือน กว่าจะปิดต้นที่กู้มาได้หมด
– โดนดอกเบี้ยไปประมาณ 3.5 แสนบาท

แถวที่ 3 มองผ่านไปก็ได้ เพราะส่งเยอะขนาดนั้น ย่อมหมดเร็ว ดอกน้อย แต่ถ้าลองเทียบแถวแรกกับแถวที่สอง จะพบว่าการส่งต้นมากกว่าขั้นต่ำแค่หมื่นเดียว สามารถลดเวลาการผ่อนไปได้ 12 ปี (เหลือ 9 ปีกว่าๆเกือบ 10ปี) และลดดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญาไปได้ 1 ล้านบาท (เหลือ 6 แสนกว่า)


——————————————————————
 

คำถามคือ ทำไมส่งเดือนละน้อยๆ ดอกถึงบาน?

คำตอบคือ วิธีการคิดดอกเบี้ยของธนาคาร จะนำเงินต้นที่เหลืออยู่มาคำนวนดอกเบี้ย ยิ่งเงินต้นเหลือมากเท่าไร ดอกเบี้ยในการคำนวนงวดต่อๆไปจะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น ลองดูภาพข้างล่างนี้นะครับ

 

** หมายเหตุ : โดยปรกติแล้ว ดอกเบี้ยบ้านเป็นแบบลดต้นลดดอก ซึ่งจะถูกคำนวณเป็นรายวันในแต่ละรอบที่เราจ่ายไปนะครับ แต่ในภาพนี้ผมคิดแบบไม่ละเอียด เอาให้พอเห็นภาพความแตกต่างนะครับ ซึ่งทำให้ตัวเลขจะไม่ถูกต้อง 100% ซะทีเดียว เนื่องจากถ้าคำนวนแบบถูกต้องจริงๆจะต้องคำนึงถึงวันที่ชำระเงินและระยะเวลานับจากการชำระเงินครั้งล่าสุดด้วยครับ (เช่นถ้าจ่ายทุกๆวันที่ 1 ของแต่ละเดือน ระยะเวลานับจากการชำระเงินครั้งล่าสุดของรอบเดือน ก.พ. จะเป็น 28 วัน พอมารอบเดือน มี.ค. จะกลายเป็น 31 วัน พอมาถึงเดือนเมษาจะกลายเป็น 30 วัน แม้จะชำระเงินเท่ากันทุกเดือน แต่จะถูกนำไปหักดอกเบี้ยไม่เท่ากันครับ) นอกจากนั้นแล้ว เงินต้นเองก็จะลดลงเรื่อยๆทุกๆเดือนเช่นกันครับ

แต่ถ้าท่านใดอยากทราบความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยบ้านโดยละเอียด สามารถดูจากโปรแกรมคำนวนเงินกู้ได้ครับ

1423023010-ScreenShot-o

 

จะเห็นว่าในปีแรกเนี่ย ก่อนที่เราจะเริ่มผ่อนกับธนาคาร ทั้งสองแบบเสียดอกเบี้ยเท่ากัน แต่พอมาถึงปีที่สอง แบบผ่อนเยอะจะเสียดอกเบี้ยน้อยกว่ากัน (ช่องสุดท้ายในตาราง) อยู่ 7,200 บาท พอมาถึงปีที่ 3 แบบที่ผ่อนเยอะจะเสียดอกเบี้ยน้อยกว่ากันมากขึ้นไปอีกอยู่ที่ 14,832 บาท และส่วนต่างจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแบบที่สองจะมีเงินต้นน้อยลงไปเรื่อยๆในแต่ละปีแบบมีนัยยะสำคัญ พอลองดูปีที่ 6 จะพบว่าส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่มไปถึง 4 หมื่นบาท และกลายเป็น 5 หมื่นบาทในปีต่อไป จนในที่สุดแล้วแบบแรกเสียดอกเบี้ยมากกว่าแบบที่สองถึง 762,837.37 บาท (ได้รถยนต์คันนึงเลย)
 

อีกประเด็นนึงคือให้ลองสังเกตุดอกเบี้ยและเงินต้นของแบบผ่อนขั้นต่ำครับ จะเห็นว่าเงินต้นลดลงไปน้อยมาก ในขณะที่ดอกเบี้ยช่วง 3 ปีแรกเสียพอๆกันเลยอยู่ที่ 120,000 > 116,400 > 112,584 > 108,539 บาท ในขณะที่แบบที่สอง เงินต้นลดลงเรื่อยๆ และดอกเบี้ยก็ลดลงเรื่อยๆจาก 120,000 > 109,200 > 97,752 > 85,617 ซึ่งตรงนี้เอง คือสาเหตุว่าทำไม เวลาเราส่งขั้นต่ำ ต้นมันถึงไม่ลดซักที เพราะดอกเบี้ยในแต่ละปี มันสูงเกือบจะเท่ากับเงินที่เราส่งเลย (ส่งไป 1.8 แสนต่อปี แต่โดนดอก 1.2 แสนต่อปี ตัดต้นได้แค่ 6 หมื่น)
 

แต่ถ้าหากคุณจะส่งขั้นต่ำ และสามารถโปะได้เรื่อยๆก็เป็นข้อยกเว้นครับ สุดท้ายแล้วเงินต้นและดอกเบี้ยคงเหลือจะใกล้เคียงกันครับ ตัวอย่างเช่น ถ้าแบบแรกส่ง 15,000 บาท แบบสองส่ง 25,000 บาท ต่างกันอยู่เดือนละ 10,000 บาท ปีนึงจะต่างกัน 120,000 บาท ซึ่งถ้าคุณสามารถหาเงินมาโปะตอนสิ้นปี 120,000 บาทได้ เงินต้นคงเหลือและดอกเบี้ยสะสมก็จะใกล้เคียงกันมากครับ​ … เพียงแต่เรื่องการโปะเนี่ย มันไม่แน่นอนครับ บางคนวางแผนจะโปะปีละแสนสองแสน เอาเข้าจริงๆมันมีเรื่องให้ใช้เงินสุดท้ายก็ไม่ได้โปะ เลยอยากแนะนำว่าให้ติดต่อธนาคารให้หักบัญชีให้มากขึ้นไปเลยดีกว่า เป็นการบังคับตัวเองไปด้วยเลย


—————————————————————


สรุป
คือที่เขียนมาจนยาวขนาดนี้ผมอยากจะสื่อว่า ถ้าใครคิดว่าตนสามารถผ่อนคอนโดขั้นต่ำได้แล้ว ผมอยากให้ชะลอไว้ก่อน รอให้สามารถผ่อนได้มากกว่าขั้นต่ำซัก 50% หรือให้ดี ผ่อน 2 เท่าของขั้นต่ำไปเลยยิ่งดี เพราะคุณจะผ่อนสั้นกว่าเยอะ เสียดอกให้ธนาคารน้อยกว่าเยอะ หรืออาจจะคิดง่ายๆแบบนี้ก็ได้ครับ 
 

ให้ "ผ่อนล้านละ 12000" แทนที่จะเป็น "ผ่อนล้านละ 7000"
– วงเงินกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนไปเลยประมาณ 12000 คนกู้ควรจะมีรายได้สุทธิ 24000 ขึ้นไป
– วงเงินกู้ 2 ล้านบาท ผ่อนไปเลยประมาณ 24000 คนกู้ควรจะมีรายได้สุทธิ 48000 ขึ้นไป
– วงเงินกู้ 3 ล้านบาท ผ่อนไปเลยประมาณ 36000 คนกู้ควรจะมีรายได้สุทธิ 72000 ขึ้นไป

 

หรืออีกทางนึงครับคือ "ผ่อนล้านละ 7000 และเก็บอีก 7000" 
สมมุติว่ากู้ซือคอนโด 2 ล้าน ต้องผ่อนขั้นต่ำเดือนละ 14000 ก็ให้ผ่อนกับธนาคารตามนี้ครับ
แต่ทุกๆเดือน พยายามเก็บเงินอีก 14000 (ถ้าไม่ไหวก็น้อยกว่านี้) เข้าบัญชีสำรองไว้ครับ
ถ้าระหว่างที่ผ่อนๆอยู่เกิดมีวิกฤติทางการเงิน เจ็บไข้ได้ป่วย รถเสียหายหนัก ฯลฯ ก็ดึงเงินสำรองมาใช้ได้
แต่ถ้าจนถึงสิ้นปีแล้ว ไม่มีเหตุให้ใช้เงินเลย ก็ถอนเงินก้อนนี้แหละครับ ไปโปะเงินกู้บ้าน

 

สมมุติว่าเก็บเดือนละ 14000 บาท 1 ปีจะเก็บได้ 168000 บาท ซึ่งในปีนั้นตัดสินใจทำเลสิกไป 3 หมื่นบาท
พอสิ้นปีเหลือเงิน 138000 บาท ก็อาจจะนำเงินซัก 1 แสนบาทไปโปะเงินกู้ เพื่อลดต้นที่จะถูกนำไปคำนวนดอก
ส่วนอีก 38000 อาจจะเอาไปตบแต่งบ้าน เที่ยวต่างจังหวัด พาคุณพ่อคุณแม่ไปช๊อปปิ้ง ฯลฯ ตามต้องการครับ


————————————————————


หวังว่าจะมีประโยชน์สำหรับท่านๆที่ทำงานและกำลังมองหาที่อยู่อาศัยมาเป็นของตัวเองนะครับ

แต่สุดท้ายแล้ว การผ่อนคอนโดขั้นต่ำเนี่ย มันไม่ได้แย่เสมอไปครับ เพราะจริงๆ เรื่องดอกเบี้ยเนี่ย เป็นเรื่องที่หลายๆ ท่านลืมหรือมองข้ามไป แต่เวลาเราเลือกที่อยู่อาศัยซักที่นึง มันก็มีเหตุผลอื่นๆที่เรานำมาพิจารณาด้วยล่ะครับ ยกตัวอย่างเช่น

– สมมุติผู้ชายคนนึงส่งได้แค่ขั้นต่ำ แต่เค้ามองว่าคอนโดมีความปลอดภัยกับภรรยาของเค้ามากกว่าหอพักในซองเปลี่ยวที่เค้าเคยอยู่ อย่างนี้แม้จะจ่ายแพงกว่าจริง แต่ก็ดูสมเหตุสมผลใช่มะฮะ
– สมมุตินักกล้ามคนนึง จ่ายค่าหอเดือนละ 1 หมื่น ค่าสมาชิกฟิตเนสเดือนละ 2 พัน รวมหมื่นสอง เค้าตัดสินใจผ่อนคอนโดเดือนละ 15000 แพงกว่ากัน 3 พัน แต่ได้ใช้สระว่ายน้ำด้วย และเป็นสามารถเป็นเจ้าของห้องในอนาคตได้ด้วย อย่างงี้ก็อาจจะพอเข้าใจได้
– วัยรุ่นคนนึงชีวิตนี้ไม่เคยมีบ้านเป็นของตนเองเลย เพราะคุณพ่อคุณแม่ล้มละลายไปตั้งแต่เด็ก พอวันนึงทำงานมีรายได้พอไหวเลยตัดสินใจผ่อนคอนโดสองห้องนอนและพาพ่อแม่มาอยู่ด้วย แบบนี้แม้จะแพงกว่าการเช่าบ้านซะอีก เสียดอกเยอะมาก แต่การได้อยู่กับพ่อแม่ทุกวัน การได้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้คุณพ่อคุณแม่ได้พักผ่อน มันประเมินค่าเป็นเงินไม่ได้

เป็นต้นฮะ สุดท้ายแล้วจึงขึ้นอยู่กับว่าแต่ละท่านให้น้ำหนักเหตุผลในเรื่องใดมากกว่ากันครับ ^^

 


ขอบคุณข้อมูลจาก คุณZieg-Hart เว็บไซต์http://pantip.com/topic/33194628

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: