สิงคโปร์ประกาศ ธ.ค.นี้ ใครไม่ฉีดวัคซีน รบ.จะไม่ออกค่ารักษาให้แล้ว

Advertisement รัฐบาลสิงคโปร์เข้ม ตั้งแต่ 8 ธ.ค. เป็นต้นไป ใครที่มีสิทธิ์ฉีดวัคซีนโควิด-19 แต่ไม่ฉีด หากติดเชื้อ จะต้องออกค่ารักษาพยาบาลเอง ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในสิงคโปร์ที่ยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละหลักพัน ล่าสุด รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศว่า จะไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่ “เลือกจะไม่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19” อีกต่อไป หลังจากนี้ใครไม่ฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วติดเชื้อโควิด-19 จะต้องออกค่ารักษาเอง Advertisement ปัจจุบัน รัฐบาลสิงคโปร์จะออกเงินค่ารักษาพยาบาลโควิด-19 ทั้งหมดให้กับชาวสิงคโปร์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้มีสิทธิ์อาศัยถาวรและผู้ถือวีซ่าระยะยาว เว้นแต่จะมีผลตรวจเป็นบวกหลังจากกลับจากต่างประเทศไม่นาน Advertisement อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. รัฐบาลกล่าวว่า “จะเริ่มเรียกเก็บเงินผู้ป่วยโควิด-19 ที่เลือกจะไม่ฉีดวัคซีนโควิด-19” รัฐบาลกล่าวว่า “คนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนนับเป็นส่วนใหญ่ของผู้ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดหากติดโควิด-19 และมีส่วนทำให้เกิดความตึงเครียดในระบบการดูแลสุขภาพของเรา” ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่มีสภาวะซึ่งไม่สามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้นั้น รัฐบาลสิงคโปร์จะยังคงออกค่ารักษาพยาบาลให้ตามปกติ ส่วนคนที่เพิ่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปเพียง 1 เข็มหรือยังไม่ครบโดส รัฐบาลสิงคโปร์จะขยายเวลาให้ฉีดเข็ม 2 จนถึง 31 ธ.ค. สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศมีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดสให้ประชาชนที่สูงที่สุดในโลก โดย 85% […]

สิงคโปร์ไฟเขียววัคซีนโควิดเข็ม 3 เริ่มฉีดผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป

สิงคโปร์พร้อมฉีดวัคซีนโควิดเข็มที่ 3 ในเดือนนี้ เริ่มฉีดผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ขณะที่รัฐบาลส่งสัญญาณ ปรับมาตรการอยู่กับโควิด ให้ความสำคัญผู้ป่วยใหม่น้อยลง วันที่ 4 ก.ย. 2564 เว็บไซต์ Kyodo News สื่อญี่ปุ่น รายงานว่า รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศเตรียมฉีดวัคซีนโควิด-19 กระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 โดยจะเริ่มต้นฉีดจากกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปก่อนเป็นอันดับแรก และพร้อมฉีดให้กลุ่มผู้สูงอายุภายในเดือนนี้ แม้ปัจจุบันรัฐบาลสิงคโปร์จะฉีดวัคซีนโควิด-19 จนครบโดสให้กับประชากรอย่างน้อย 80% แล้ว แต่รัฐบาลสิงคโปร์ระบุว่า การตัดสินใจฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เป็นหนึ่งในมาตรการเพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตาที่มีการระบาดรุนแรงขึ้น รายงานจากสื่อญี่ปุ่นยังระบุด้วยว่า ในตอนนี้รัฐมนตรีสิงคโปร์หลายคนเริ่มส่งสัญญาณปรับนโยบายเพื่อต่อสู้กับไวรัสสายพันธุ์เดลตา ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ควบคุมการระบาดได้ยาก โดยรัฐมนตรีคลังสิงคโปร์เปิดเผยว่า รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับจำนวนผู้ป่วยอาการหนักและสัดส่วนการครองเตียงไอซียูในโรงพยาบาล แทนจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ต่อวัน รัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ระบุว่า สิงคโปร์จะเดินหน้าเป็นประเทศที่ฟื้นฟูจากโควิด-19 และอยู่กับไวรัสให้ได้ พร้อมยอมรับว่า ความรุนแรงของสายพันธุ์เดลตาที่ติดเชื้อง่าย ทำให้มาตรการเดิมๆ เช่น การเว้นระยะห่างหรือการปิดพรมแดน ไม่ยั่งยืนอีกต่อไป   ข่าวจาก : workpointtoday

ที่สุดในอาเซียน ไทย อันดับ 1 ประเทศพัฒนายั่งยืน แถมอันดับโลกดีกว่า สิงคโปร์

ไทย คว้าอันดับ 1 อาเซียน ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน ประเทศพัฒนาอย่างยั่งยืน แถมอันดับโลกดีกว่า สิงคโปร์ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัย Cambridge ได้เผยแพร่รายงานการพัฒนาอย่างยั่งยืนปี 2564 (Sustainable Development Report 2021) พบว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ 43 ของโลก จากทั้งหมด 165 ประเทศทั่วโลก เป็นอันดับ 1 ของอาเซียนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แล้ว และเป็นลำดับ 3 ในทวีปเอเชีย ในรายงานการจัดอันดับการพัฒนาอย่างยั่งยืนนี้ ซึ่งรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืน “SDG Index” เป็นการประเมินความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 ข้อ ทั้งนี้ ประเทศไทยมีคะแนนเฉลี่ยรวม 74.19 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ที่ 65.7 คะแนน และในรายงานได้ระบุว่า ไทยบรรลุเป้าหมายแล้วในหัวข้อ SDG 1 ขจัดความยากจน […]

ไทยน่าจะมีบ้าง!! แห่แชร์นโยบายสุขภาพชาวสิงคโปร์ ‘สะสมจำนวนก้าวเดิน แลกตังค์ได้’ หนุนคนหันมาเดินออกกำลังมากขึ้น ประหยัดงบการรักษาพยาบาลมากขึ้น!!

  16 ก.พ.61 เฟซบุ๊ก Kasidis Khantharat โพสต์ภาพนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะชนิดหนึ่งของชาวสิงคโปร์ โดยระบุข้อความว่า.. รัฐบาลสิงคโปร์ฉลาดมากครับ "National Steps Challenge  ถามเพื่อนว่าคาดนาฬิกาอะไร เขาบอกว่าเป็นนาฬิกาที่รัฐบาลสิงคโปร์แจกให้ประชาชน ประมาณ 500,000 เรือน นาฬิกามันจะจับก้าวเดิน ทุกๆ 10,000 ก้าว เราจะสะสมได้ 15 คะแนน ครบ 750 คะแนน เมื่อไร ก็จะนำไปแลกเป็นเงินได้ 5 เหรียญ นอกจากสนุกที่ได้สะสมคะแนนไปเรื่อยๆ ได้เคลื่อนไหวให้มากขึ้น และยังได้สตางค์ และจะกระตุ้นให้ประชาชนหันมาสนใจดูแลสุขภาพ โดยที่รัฐบาลเองก็สามรถประหยัดค่าใช้จ่ายที่ต้องหมดไปกับค่ารักษาพยาบาล"     โดยโพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ไปกว่า 14,000 ครั้ง หลายคนต่างรู้สึกชื่นชมในนโยบายดังกล่าวของสิงคโปร์ พร้อมทั้งมองย้อนกลับมาที่ไทยบ้างว่า น่าจะมีนโยบายดีๆ แบบนี้     ขอบคุณข้อมูลจาก : Kasidis Khantharat

1 2
error: