เปิดเงื่อนไข แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท สินค้าอะไรบางที่ซื้อได้ – ไม่ได้

Advertisement เงื่อนไขเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซื้อสินค้าได้-ไม่ได้ จากการแถลงข่าวนโยบายแจกเงิน เติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ส่องเงื่อนไขเงินดิจิทัล 10,000 บาท ไม่สามารถซื้อสินค้าประเภทใดได้บ้าง หลังนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เคาะวงเงิน 6 แสนล้านแจกกลุ่มเป้าหมาย 50 ล้านคน ประชาชนที่อยู่ในเกณฑ์ คือ เงินเดือนไม่เกิน 70,000 บาทต่อราย และ/หรือ มีเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท นั้น Advertisement สำหรับ เงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้สิทธิ์ใช้โดยกำหนดระยะเวลา 6 เดือน ครอบคลุมการใช้จ่ายในระดับอำเภอ ยึดตามบัตรประชาชน โดยโครงการฯจะสิ้นสุดในปี พ.ศ.2570 โดยแหล่งที่มารัฐบาลจะใช้วงเงิน 6 แสนล้านบาทเพื่อดำเนินการในส่วนนี้ คือ 5 แสนล้านบาทจะมีการใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนี้ส่วนอีก 1 แสนล้านบาท รัฐบาลจะนำเงินไปใส่ในกองทุนเสริมสร้างการแข่งขันในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (New S Curve) เพื่อใช้ในการให้สิทธิประโยชน์ในการดึงอุตสาหกรรมเป้าหมายเข้ามาลงทุน โดยกองทุนนี้จะใช้ในการดึงดูดการดึงบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น […]

นายกฯ ยืนยันแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน แอปฯ “เป๋าตัง”

10 พฤศจิกายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ประกาศว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะพัฒนาต่อยอดระบบเป๋าตัง ซึ่งมีประชาชนลงทะเบียนอยู่แล้ว 40 ล้านคน และมีร้านค้าที่คุ้นเคยอยู่แล้วกว่า 1.8 ล้านร้านค้า “อย่างที่ทุกคนรู้ดีระบบเป๋าตังมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีอยู่แล้ว ซึ่งจะลดระยะเวลา ประหยัดงบประมาณ และลดความซ้ำซ้อนในการสร้างและดูแลรักษาระบบ กระทรวงการคลังเองก็มีความคุ้นเคยในการกำกับดูแลและบริหารจัดการ ป้องกันการทุจริตต่าง ๆ” นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โดยเราจะพัฒนาต่อยอดระบบเป๋าตังให้สามารถทำงานโดยมี Blockchain อยู่ด้านหลังเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งระบบ Blockchain จะทำให้รัฐป้องกันการทุจริตได้ และหากมีใครฝ่าฝืนแก้ไข ทุจริต ระบบก็จะสามารถตรวจสอบได้ทันที การมีระบบ Blockchain จะนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลและการทำ e-Government ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง สร้างความโปร่งใส ลดการทุจริตได้อย่างเป็นรูปธรรม “เรื่องที่ว่าจะได้ใช้เมื่อไหร่ Timeline เป็นยังไง โครงการ Digital Wallet จะใช้ระยะเวลาในการตีความโดยกฤษฎีกา และกระบวนการกฎหมายช่วงปลายปีนี้ นำเข้าสู่สภาช่วงต้นปีหน้า จัดเตรียมงบประมาณและเปิดให้ประชาชนได้ใช้ในช่วงเดือนพฤษภาคมปีหน้า” “แต่ก่อนหน้านั้น จะมีโครงการ e-Refund […]

กกพ. จ่อขึ้นค่าไฟบิลเดือน ม.ค.-เม.ย. 67 ตั้งแต่ 4.68-5.95 บาทต่อหน่วย

ค่าไฟฟ้าที่เราใช้กันหน่วยละ 3.99 บาท จะสิ้นสุดสิ้นปี 2566 เท่านั้น ปีหน้า (2567) ค่าไฟฟ้าจะเป็นไปตามต้นทุนค่าเชื้อเพลิง เพราะไม่มีการอุดหนุนจากรัฐบาลแล้ว สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้พิจารณา 3 แนวทางสำหรับค่าไฟฟ้างวดหน้า คือ เดือน ม.ค.- เม.ย. 2567 มีแนวโน้มปรับขึ้นเนื่องจากสถานการณ์ LNG ในตลาดโลกอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยนายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์ราคา LNG ในตลาดโลกอยู่ในช่วงขาขึ้น ตามความต้องการใช้ LNG ที่มากขี้นในช่วงฤดูหนาวในยุโรป ส่งผลให้การประมาณการต้นทุนการผลิตไฟฟ้างวดหน้า (ม.ค.-เม.ย. 67) เพิ่มขึ้นเป็น 64.18 สตางค์ต่อหน่วย / ขณะที่ยังมีภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. อีก 95,777 ล้านบาท กกพ.เคาะค่าไฟ 3 แนวทาง ตั้งแต่ 4.68-5.95 บาทต่อหน่วย โดย 3 แนวทางพิจารณาค่าไฟงวดหน้า คือ […]

นำร่อง 4 จว. บัตรใบเดียวรักษาทุกที่ ‘ชลน่าน’ มั่นใจใช้ได้จริง 1 ม.ค. 67

7 พ.ย. 2566 ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ต นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลสุขภาพ “บัตรประชาชนใบเดียว รักษาทุกที่” ปีงบประมาณ 2567 ว่า วันนี้เป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการทุกภาคส่วน ทั้งรัฐและเอกชน ใน 4 จังหวัดนำร่อง คือ แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส รวมทั้งในเขตสุขภาพ เพื่อเตรียมพร้อมโยบายยกระดับ 30 บาท บัตรประชาชนใบเดียว รักษาได้ทุกที่ เป็นหนึ่งใน Quick Win ที่ สธ.เร่งรัดดำเนินการเพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน โดยนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของหน่วยบริการทุกระดับทั้งรัฐและเอกชน เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว และยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ในการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของประชาชน รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของหน่วยบริการให้เป็น รพ.อัจฉริยะ (Smart Hospital) “เรามั่นใจหลังจากวันนี้แต่ละแห่งจะเข้าสู่แนวทางปฏิบัติ เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลนำไปสู่การปฏิบัติได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 จะเริ่มใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเป็นการให้บริการสุขภาพทุกมิติ ทั้งการรักษาพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค […]

นายกฯ สั่งศึกษาปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำ-เงินเดือนขรก.-จนท.รัฐ

5 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ทำหนังสือลงโดยนายธวัชชัย จันทร์ไพศาลสิน ที่ปรึกษาประจำสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ถึงเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เรื่อง การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและการปรับอัตราเงินเดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ความว่า ด้วยในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ว่า รัฐบาลมีนโยบายในการสร้างรายได้ สร้างชีวิตของคนไทยให้มีเกียรติมีเงินเดือนและค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นธรรมสอดคล้องและเพียงพอต่อปัจจัยด้านการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี นั้น จึงขอมอบหมาย ดังนี้ 1.ให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว 2.ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร) ในฐานะประธานกรรมการข้าราชการพลเรือนรับไปเร่งรัดให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสม และเป็นไปได้ แนวทาง กรอบระยะเวลา และผลกระทบของการปรับอัตราเงินดือนสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ชัดเจน และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วภายในเดือนพฤศจิกายน 2566 ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้แจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตามบัญชีแนบท้ายทราบด้วยแล้ว ข่าวจาก : มติชน

เปิดศูนย์แก้ปัญหาหลอกลวงทางออนไลน์ ‘AOC 1441’ เบอร์เดียวอายัดบัญชีได้ทันที

ภายหลังจากประชาชนเดือดร้อนจากภัยออนไลน์ โดยมิจฉาชีพมีกลลวงหลากหลาย ทำให้ประชาชนสูญเสียทรัพย์สิน สะท้อนข้อมูลจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า สถิติคดีออนไลน์ในระยะ 1 ปี 7 เดือน นับตั้งแต่ 1 มีนาคม 2565-30 กันยายน 2566 มีจำนวนคดี กว่า 330,000 คดี และความเสียหายสูงกว่า 45,000 ล้านบาทขณะเดียวกัน ความเสียหายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยระยะเวลา 2 เดือน นับตั้งแต่เดือนกันยายน-ตุลาคม 2566 มีจำนวนคดีเฉลี่ย 562 เรื่องต่อวัน ความเสียหายเฉลี่ย 85 ล้านบาทต่อวัน สำหรับ คดีออนไลน์ สูงสุด 5 ลำดับแรก คือ 1.คดีหลอกซื้อขายสินค้าและบริการ จำนวน 285 เรื่องต่อวัน 2.หลอกทำงานหารายได้ จำนวน 70 เรื่องต่อวัน 3.หลอกให้กู้เงิน จำนวน 56 เรื่องต่อวัน 4.หลอกลงทุน […]

เปิดเทอมวันแรก สั่ง ผู้บริหาร-ครู ตรวจเข้ม บุหรี่ไฟฟ้า-ยาเสพติด

1 พฤศจิกายน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ในการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 วันแรก ตนมีข้อห่วงใยรับเปิดเทอมคือเรื่องสิ่งเสพติดในสถานศึกษา โดยได้กำชับให้ผู้บริหารสถานศึกษาทั่วประเทศ และหน่วยงานในกำกับทุกสังกัด ตรวจตราบุหรี่ไฟฟ้า และยาเสพติดอย่างเข้มข้น ทั้งภายใน และบริเวณรอบสถานศึกษา เพื่อป้องกันนักสูบหน้าใหม่ในกลุ่มเด็กและเยาวชน เพิ่มมาตรการที่เข้มแข็ง ปกป้องเยาวชนจากสิ่งเสพติด ตลอดจนสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับอันตราย และผลกระทบของยาเสพติด ให้เกิดการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของ นักเรียน ผู้ปกครอง ครู และบุคลากรทางการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม พล.ต.อ.เพิ่มพูนกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ศธ.ได้เน้นย้ำ และกำกับสถานศึกษามาโดยตลอด ว่าจะต้องเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยจากสารเสพติดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า สารเสพติด รวมถึง สารอื่นที่ทำให้มึนเมา แต่ปัจจุบันเด็กเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้ง่ายขึ้น จึงต้องทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ที่สำคัญมีบูรณาการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ผลักดันจนเกิดนโยบาย “โรงเรียนปลอดบุหรี่” โดยสถานศึกษามีส่วนร่วมสำคัญในการสร้างมาตรการจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดบุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้า ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 ที่ได้กำหนดให้โรงเรียน หรือสถานศึกษาต้องเป็นเขตปลอดบุหรี่ทั้งหมด ดังนั้น ครูผู้อยู่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุดในโรงเรียน จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการปลูกฝังค่านิยม […]

รมช.ศธ. ปิ๊งไอเดียใช้ ‘เครดิตบูโร’ แก้หนี้ครู เร่งเจรจาลดดอกเบี้ย เปิดช่องกู้ข้ามจังหวัด

นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ส่งหนังสือเชิญผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันการเงิน สำนักงานอัยการสูงสุด ฯลฯ เข้าร่วมเป็นคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาแล้ว อยู่ระหว่างรออนุมัติอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานต้นสังกัด อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ได้ศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาหนี้สินครู ในช่วงที่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง อดีตรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ได้ดำเนินการไว้ ซึ่งมีการลงพื้นที่ มีข้อมูลที่สามารถนำมาต่อยอดได้เลยไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ทั้งนี้ การแก้การแก้ปัญหาหนี้สินครูจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ สีเขียวคือครูที่มีสภาพคล่อง สีเหลืองคือครูที่มีหนี้บ้างเล็กน้อย และสีแดงคือเป็นหนี้เสีย อาจถูกฟ้องล้มละลาย ซึ่งเมื่อมีการตั้งคณะอนุกรรมการฯเรียบร้อยแล้ว จะมีการหารือเพื่อวางมาตรการแก้ไขปัญหาในแต่ละกลุ่มต่อไป คาดว่าจะได้ชื่อคณะอนุกรรมการฯครบ และเริ่มนัดประชุมอย่างเป็นทางการได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ นายสุรศักดิ์กล่าวต่อว่า เบื้องต้นต้องมีการให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการเงิน เพื่อปรับพฤติกรรมทางการเงินของครูและบุคลากรทางการศึกษา การเจรจาลดดอกเบี้ยจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ หากลดได้ก็จะทำให้ครูมีเงินเหลือมากขึ้น ขณะเดียวกันอาจจะต้องมาทบทวน มาตรการหักเงินเดือน ตามระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการหักเงินเดือนเงินบำเหน็จบำนาญ เพื่อชำระหนี้เงินกู้ให้แก่สวัสดิการภายในส่วนราชการและสหกรณ์ พ.ศ.2551 ข้อ 7 (5) ที่บัญญัติให้ การจะให้ส่วนราชการหักเงิน ณ จ่ายเพื่อชำระหนี้เงินกู้นั้น จะต้องมีเงินเดือนสุทธิหลังจากหักชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 […]

ไม่จ่ายค่าปรับ-ปฏิเสธข้อกล่าวหา ให้ส่งฟ้องศาล! ตร.เผยแนวทางออก ‘ใบสั่งจราจร’ใหม่

25 ต.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.สหัสสชัย โลจายะ รองผู้บังคับการกองแผนงานความมั่นคง รักษาราชการแทน ผู้บังคับการกองแผนงานความมั่นคง (รอง ผบก.ผค.รรท.ผบก.ผค.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้ลงนามบันทึกข้อความด่วนที่สุด ที่ 0007.34/2423 เรื่อง แจ้งแนวทางการบังคับใช้กฎหมาย การดำเนินคดีปรับเป็นพินัยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 แจ้งไปยัง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ,ผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 1-ภาค 9 (ภ.1-9) และผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก) กรณี ตร.ได้กำหนดแนวทางในการออกใบสั่งและการดำเนินคดีปรับเป็นพินัยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 โดยให้ทุกหน่วยประชุมชี้แจงกับผู้ปฏิบัติงาน และถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด โดยมีรายละเอียด ดังนี้ แนวทางการออกใบสั่งและการดำเนินคดีความผิดทางพินัยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทาง ตามที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ.2565 กำหนดให้ความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายในบัญชี 1 ท้าย พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ.2565 เปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัย และให้ถือว่าอัตราโทษปรับอาญาเป็นอัตราค่าปรับเป็นพินัย ตั้งแต่ 25 ต.ค.2566 เป็นต้นไป ซึ่ง […]

‘จุลพันธ์’ แย้มตัดสิทธิคนรวย เงินเดือนไม่เกิน 2.5 หมื่นได้ดิจิทัลวอลเล็ต

26 ตุลาคม ที่กระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สาเหตุคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เป้าหมาย 3 กลุ่ม ในการแจกเงินนั้น เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ได้ยื่นข้อเสนอให้ดูแลเฉพาะกลุ่มเปราะบางเท่านั้น มีอยู่ประมาณ 15-16 ล้านคน เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจและการบริโภคเริ่มฟื้นตัวแล้ว ที่ประชุมอนุกรรมการยังมีความเห็นต่าง เนื่องจากมองว่าประชาชนยังมีความเดือดร้อน และรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพใหญ่เป็นสำคัญ หากใช้เม็ดเงินงบประมาณลงไปเพียง 1.5 แสนล้านบาท อาจกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ ขณะที่การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเกณฑ์คนรวยนั้น กรณีกำหนดเกณฑ์ตัดสิทธิผู้ที่มีความพร้อมทางสังคม มีรายได้ 25,000 บาทต่อเดือนและหรือมีเงินฝากในบัญชี 100,000 บาท นั้น และกลุ่มผู้มีรายได้เดือนละ 50,000 บาทต่อเดือน และหรือมีเงินฝากในบัญชี 500,000 บาทนั้น ส่วนนี้เป็นตัวเลขที่มีอยู่ในข้อมูลของภาครัฐที่แบ่งตามความเหมาะสม “จากการปรับเกณฑ์จ่ายเงินดิจิทัล เรารอฟังเสียงนักวิชาการและประชาชน ว่า จะมีความคิดเห็นอย่างไร เมื่อการประชุม 25 ตุลาคมที่ผ่านมา […]

1 5 6 7 995
error: