เตือน ! ผลวิจัยชี้ เด็กอินเดียตายนับร้อยเพราะกินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง





นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาและอินเดีย ระบุว่า โรคปริศนาที่ทำให้เด็กในภาคเหนือของอินเดียเสียชีวิตมากกว่า 100 คนใน 1 ปี เกิดจากการทานลิ้นจี่ตอนท้องว่าง…

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า นานกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เด็กสุขภาพดีหลายคนในรัฐพิหาร ทางเหนือของอินเดีย เกิดอาการชักอย่างกระทันหันและหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยครึ่งหนึ่งของเด็กที่เกิดอาการนี้เสียชีวิต สร้างความฉงนให้แก่แพทย์เป็นอย่างมาก แต่ผลการวิจัยล่าสุดซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ ‘เดอะ แลนเซ็ต’ (The Lancet) ชี้ว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กๆ เสียชีวิตเป็นเพราะพิษจากผลไม้

ตามที่ระบุในวารสาร เด็กๆ ที่เสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นคนยากจนอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เน้นการปลูกลิ้นจี่เป็นหลัก และพวกเขาก็ทานผลไม้เหล่านั้นที่ร่วงลงสู่พื้นในสวนผลไม้ ทว่าลิ้นจี่มีสารพิษที่ยับยั้งความสามารถในการผลิตกลูโคสของร่างกาย และจะส่งผลกระทบต่อเด็กอายุน้อยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ออยู่แล้ว เนื่องจากไม่ได้ทานอาหารเย็น

เด็กๆ ที่ได้รับผลกระทบหลายคนตื่นขึ้นมากลางดึกและกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะเกิดอาการชักและหมดสติเพราะสมองบวมฉับพลัน

นักวิจัยได้ตรวจสอบเด็กที่มีอาการป่วยซึ่งถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในเมือง มูซาฟฟาร์ปุระ ระหว่างเดือนพ.ค.-ก.ค. ในปี 2014 และพบควมเชื่อมโยงระหว่างการแพร่กระจายของอาการป่วยที่ทำให้สมองบวม และอาการชักในเด็กในแถบทะเลแคริบเบียน ซึ่งสาเหตุเกิดจากผลแอคกี (ackee) ซึ่งมีสาร ‘ไฮโปกลีซิน’ สารพิษที่ยับยั้งความสามารถในการผลิตกลูโคสของร่างกาย และผลการทดสอบชี้ว่าลิ้นจี่ก็มีสารนี้เช่นกัน

การค้นพบดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเตือนพ่อแม่ในอินเดีย ว่าให้ลูกๆ ทานอาหารเย็นและจำกัดจำนวนลิ้นจี่ที่รับประทาน ส่วนเด็กที่มีอาการป่วยควรเข้ารับการรักษาอาการน้ำตาลในเลือดต่ำทันที และหลังจากนั้น จำนวนเด็กล้มป่วยก็ลดลงจากหลายร้อยคนต่อไป เหลือเพียงประมาณ 50 คนเท่านั้น

นอกจากนี้ ในช่วงปี 2533 ในพื้นที่การเกษตรห่างไกลของเวียดนาม บังคลาเทศและอินเดีย ได้เกิดเหตุการณ์คล้ายๆกันขึ้น คือเมื่อเข้าใกล้ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลไม้ จะมีเด็กป่วยหรือเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ 
เด็กที่ป่วย ตอนเย็นจะยังดูมีอาการปกติ แต่ว่าในตอนเช้าวันถัดมาจะมีอาการซึม สับสน พูดคุยไม่รู้เรื่อง บางคนมีไข้ บางคนชัก แพทย์ที่ทำการตรวจในยุคนั้นพยายามตรวจหาสาเหตุไม่ว่าจะจากเชื้อโรค จากสารเคมี จากสารในผลไม้แต่ก็ไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน 
ในปีถัดๆมา เกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้นอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทุกปีเมื่อถึงช่วงเดือนพฤษภาคม ชาวบ้านก็จะกลัวกันว่าลูกของตนจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป ที่อินเดียได้มีการตรวจเรื่องยาฆ่าแมลง เชื้อ แต่ก็ไม่ชัดเจน มีการควบคุมการใช้ยาฆ่าแมลง และในปี2555มีการฉีดวัคซีนไข้สมองอักเสบขนานใหญ่ แต่ก็ยังพบว่าเด็กๆยังป่วยอยู่ … ซึ่งทำให้เหลือเหตุผลที่เป็นไปได้อีกตัวนึงคือสารในผลไม้

สารในผลไม้ที่สงสัยกันคือสาร hypoglycin A และ methylenecyclopropylglycine ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้เป็นสารพิษในพืชบางชนิด จะไปยับยั้งการสร้างน้ำตาล ยับยั้งการใช้พลังงานจากกรดไขมัน ทำให้ร่างกายขาดพลังงาน และเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ โดยสารนี้พบในผลไม้จาไมก้าที่ชื่อว่าอัคกี และทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า โรคอาเจียนจาไมก้า
สำหรับผลไม้ที่อยู่ในตระกูลเดียวกันก็คือ เงาะ ลำไย และลิ้นจี่ ก็มีสารนี้มากน้อยต่างๆกันไป

จริงหรือห้ามกินตอนท้องว่าง?
หลังจากปี 2555 เมื่อพบว่าการฉีดวัคซีนก็ไม่ช่วยอะไร เลยมีการพุ่งเป้าไปที่สาร hypoglycin A ในลิ้นจี่ … และมีการเก็บข้อมูลกันใหม่ โดยเมื่อมีคนป่วยก็ลองรักษาเสมือนมีภาวะน้ำตาลต่ำและตรวจหาสารนี้ไปเลย ปรากฏว่าผลคือพบสารนี้ในเลือดของคนที่ป่วยจริงๆ และเมื่อตรวจสอบย้อนกลับไป ลองถามดู จะได้ลักษณะที่ตรงกันคือ 
1. เป็นเด็ก 
2. มีภาวะขาดสารอาหาร อาหารการกินไม่ดี อดมื้อกินมื้อ 
3. มักจะมีประวัติว่าหายไปในสวนลิ้นจี่ ไปกินลิ้นจี่ทั้งวันจนอิ่ม และกลับมาโดยทั้งวันไม่กินอาหารหรือไม่กินอาหารเย็น

ทั้งนี้ไม่ได้เกิดกับเด็กทุกคน เพราะเด็กที่ทำแบบเดียวกัน ก็ไม่ได้เป็นก็มี … แต่เนื่องจากหาสาเหตุอื่นไม่เจอและตรวจเจอสารที่เป็นไปได้ในเลือด ดังนั้นก็เลยสรุปว่าเป็นสารพิษในลิ้นจี่

แล้วเราจะมีวิธีป้องกันอย่างไร
ก่อนอื่นอย่าเพิ่งตื่นตกใจจนเกินไป เพราะว่าเอาเข้าจริงๆ รายงานชัดๆมาจาก 3 แห่งคือเวียดนาม บังคลาเทศ และอินเดีย เป็นในบางพื้นที่ไม่ได้เป็นทุกที่ และเป็นเฉพาะในเด็กที่มีภาวะขาดอาหารไม่แข็งแรงอยู่เดิม และเป็นแค่บางคนไม่ได้เป็นทุกคนที่กิน
1. อย่ากินลิ้นจี่ดิบ : เพราะมีสารพิษที่ว่ามากกว่าผลสุกประมาณ 2-3 เท่า
2. อย่ากินลิ้นจี่อย่างเดียวทั้งวันแทนอาหาร
3. อย่าขาดสารอาหาร : ในงานวิจัยบอกว่า อาการนี้พบในเด็กที่ขาดอาหาร ยากจน ซึ่งภาวะขาดอาหารจะทำให้มีพลังงานสำรองในตับลดลง

สรุป
สำหรับคนเป็นเบาหวานที่อยากจะกินลิ้นจี่เป็นยาลดน้ำตาล ก็ขอให้เบรกความคิดไว้ก่อนเพราะว่า
– งานวิจัยพบว่า ลิ้นจี่แต่ละลูกมีสารไม่เท่ากัน (ผลลดน้ำตาลเอาแน่นอนไม่ได้)
– ถ้ากินอาหารไปด้วยน้ำตาลก็อาจไม่ต่ำ 
– ในผู้ป่วยบางรายพบภาวะไตวายร่วมด้วย 
– ที่สำคัญในลิ้นจี่สุกก็มีน้ำตาล ถ้ากินเป็นล่ำเป็นสันและกินอาหารไปด้วย นอกจากน้ำตาลจะไม่ต่ำ เผลอๆได้น้ำตาลสูงแทน

ปล. ลำไยกับเงาะก็มีสารนี้ แต่ก็เหมือนกัน อย่าไปกินเพื่อหวังลดน้ำตาล

ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก : http://www.thairath.co.th และ เพจความรู้สนุกๆแบบหมอแมว
ขอบคุณรูปภาพจาก : ไทยเกษตรศาสตร์Health Benefitswww.piantetropicali.com

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: