เรียนจบแล้ว….ผ่อนรถ หรือเก็บเงินดี?





   ชีวิตมนุษย์นักศึกษาเมื่อเข้าสู่ชีวิตมนุษย์เงินเดือน เราทุกคนล้วนมีความฝัน ที่อยากจะมีรถสักคัน อยากมีบ้านสักหลัง อยากมีสมาร์ทโฟนดีๆ อยากมีแท็บเล็ตไว้ใช้สักครื่อง แล้วก็ฝันต่อไปว่าเราจะได้ใช้ชีวิตการทำงานอย่างมีความสุข เพื่อบั้นปลายชีวิตที่ดี แต่ก่อนที่เราจะเริ่มทำตามฝันพวกนี้ มาดูกันดีกว่าว่า “เราควรเริ่มมีรถ ซื้อคอนโด หรือทำอย่างไรกับเงินเดือนหลังจากเริ่มงานแรกนี้ดี?”

 

 

 

[ads]

 

 

เว็ปไซด์ www.krungsri.com By By Krungsri Guru ได้ให้คำเเนะนำไว้ดังนี้

"…

   สำหรับคนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ ก็มักจะมีข้อสงสัยว่าจะเก็บเงินก่อนหรือจะซื้อรถก่อนดี ผมขอแนะนำให้มีเงินเก็บสักหน่อย ให้เฉียดหลักล้านก่อนค่อยคิดซื้อรถจะดีกว่า เพราะเดี๋ยวนี้รถรากว่าจะได้มาง่ายๆ หรือได้มาแล้วก็มีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยครับ กว่าจะผ่อนกันหมดก็หลายปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งงานที่น้องๆ ได้ด้วยนะครับ บางสายงานก็ต้องใช้รถยนต์

   เมื่อเราเป็นหนี้ก้อนโตแบบนี้ ก็เป็นอีกอุปสรรคหนึ่งที่จะบั่นทอนวินัยในการออมของเรา แม้จะดูเหมือนเป็นเงินจำนวนมาก แต่จริงๆ แล้วหากน้องๆ ทำงานแล้วเก็บเงินอย่างเดียว เที่ยวบ้าง ช็อปปิ้งพอประมาณ และใช้จ่ายอย่างประหยัด ประมาณ 7-8 ปี สามารถมีเงินเก็บได้เฉียดหลักล้านแน่นอนครับ หลังจากที่เก็บเงินได้แล้ว หลังจากนี้จะวางแผนซื้อรถ หรือจะวางแผนเก็บออม ลงทุน หรือจะซื้อบ้านก็ไม่ลำบากแล้วครับ แล้วเงินล้านที่เก็บมา ยังสามารถเอาไปทำประโยชน์ต่อเนื่องได้หลายต่ออีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเก็บออมด้วยการซื้อกองทุนรวมหุ้นอย่าง LTF หรือ RMF หรือการออมด้วยการฝากบัญชีเงินฝากประจำแล้วรับผลประโยชน์จากดอกเบี้ยรายปี แล้วดอกเบี้ยที่ได้ก็สามารถนำไปลงทุนต่อเนื่องได้อีกด้วย

 

   หลักประกันจากการออมเงินที่ถูกวิธี “การออมเงิน” นับเป็นตัวช่วยที่สามารถเป็นหลักประกันความเสี่ยงให้เราได้อย่างดี ยิ่งเป็นนักศึกษาจบใหม่ ในช่วงที่ยังตกงาน ไม่มีรายได้ประจำ หรืออาจมีการเปลี่ยนงาน มีช่วงว่างงาน ออกจากงานเก่า ยังหางานใหม่ไม่ได้ หากไม่มีเงินไว้ใช้จ่ายเลย ก็จะลำบากได้ ดังนั้นเงินเก็บนี่แหละครับ ที่จะสามารถช่วยให้เรามีตัวช่วยในการรองรับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อได้นั่นเอง

   สมมติว่าเราดาวน์รถยนต์มาแล้ว จู่ๆ เกิดเหตุสุดวิสัย ต้องออกจากงานและยังหางานใหม่ไม่ได้ ก็ไม่มีเงินมาผ่อนรถยนต์ต่อ หากเรามีเงินออมที่บริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะสามารถช่วยเราได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว

   เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เมื่อเริ่มต้นออม ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายว่าแต่ละเดือนจะต้องออมเยอะๆ เพียงแค่เริ่มต้นเก็บเงินเดือนละนิดเดือนละหน่อย หากปีแรกเราเก็บเงินเดือนละ 5,000 บาท ต่อเนื่องทุกเดือน แล้วเก็บเพิ่มอีก 25% ในปีต่อมา ก็มีส่วนช่วยพัฒนานิสัยนักออมให้เราได้ เช่น ปีแรกเริ่มออมเดือนละ 5,000 บาท ปีที่สองเก็บเดือนละ 7,500 บาท ปีที่สามเก็บเดือนละ 10,000 บาท เป็นต้น เมื่อนำเอาเงินก้อนนี้ไปฝากบัญชีธนาคาร โดยได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ 4% ต่อปี (แล้วแต่เงื่อนไขของประเภทบัญชีเงินฝากของธนาคาร) ภายในเวลา 8 ปี ก็สามารถมีเงินเก็บได้ถึง 1,000,000 บาท!

   คำถามคาใจ น้องๆ อาจจะมีคำถามว่า เงินที่หามาได้ก็ต้องนำมาใช้จ่าย แล้วจะให้เก็บเดือนละหลายพันได้อย่างไร เมื่อเริ่มต้นก็ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าสูงมาก เช่น ไม่ได้ต้องเริ่มที่เดือนละ 5,000 บาทก็ได้ครับ สิ่งสำคัญคือการเก็บเงินให้ได้เป็นประจำ เป็นการสร้างนิสัยทุกๆ เดือน อาจจะเริ่มที่เดือนละ 1,000 บาทก็ได้ แต่เพียงแค่เริ่มเก็บเงินให้ได้เป็นประจำ แล้วนำไปฝากธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัญชีเงินฝากประจำ หรืออะไรก็ตามก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีสู่เส้นทางการเป็นเศรษฐีเงินล้านได้

   เช่าหรือซื้อบ้านคุ้มกว่ากัน สิ่งสำคัญสำหรับน้องๆ ที่ยังมองหาบ้านของตัวเอง แต่ถ้าการเช่าทำให้น้องๆ สามารถเก็บเงินได้มากกว่า ประหยัดได้มากกว่าก็อาจจะเช่าไปก่อน แล้วค่อยรวบรวมเงินสดไปซื้อเอาในวันข้างหน้า การซื้อบ้านหรือคอนโดนั้น มีราคาหลักล้านบาท ควรเลือกวางแผนและศึกษาเงื่อนไขต่างๆ ให้ถี่ถ้วนก่อน หากเราเริ่มจากไม่มีเงินก้อนแล้วไปกู้ธนาคาร ก็จะเจอกับดอกเบี้ยและระยะเวลาการผ่อนหลายปี เริ่มแรกก็เก็บเงินแล้วนำไปลงทุนสร้างเงินก้อนก่อน แล้วค่อยนำมาวางดาวน์ เราก็จะลดดอกเบี้ยหรือระยะเวลาการผ่อนลงได้เยอะ บ้านในฝัน คอนโดที่ชอบก็อยู่ไม่ไกลแล้วครับ

ภาพ:SingleMum.com.au

แล้ว “ดอกเบี้ย 4%” จะไปหาที่ไหนได้? หากต้องการได้รับผลตอบแทนจากเงินลงทุนที่ปีละ 4% แนะนำให้น้องๆ ศึกษาการนำเงินเก็บไปลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ หรือจะฝากกับธนาคารที่ปลอดภาษี การลงทุนวิธีนี้ ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำและได้ผลตอบแทนที่ดี

 

เก็บเงินอย่างไรให้ได้เดือนละ 15,000 (ทั้งๆ ที่เงินเดือนไม่ถึง 30,000 บาท)

   วิธีง่ายๆ คือ การหารายได้เสริมนั่นเอง หากเรามีเป้าหมายแล้วก็ต้องไปให้ถึง อาจจะต้องอดทนทำงานประจำ เสริมด้วยรับทำงานนอก หรือทำงานเสริมอีก อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายที่เราตั้งเป้าเอาไว้ แม้ว่าจะเหนื่อยแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแค่ขยัน อดทน แล้วเราจะสามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้แน่นอน น้องๆ บางคนมีความคิดสร้างสรรค์ หรือหัวการค้า ก็ช่วยเป็นแรงส่งให้เราถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นครับ

 

 

ขอบคุณเนื้อหาจาก:www.krungsri.com

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: