ทำไม??…คนเราถึงเป็นโรคจิตได้





เชื่อหรือไม่ว่า โอกาสที่ใครคนหนึ่งจะเกิดเป็นโรคจิตได้ มี 1 ใน 100 ถ้าเป็นสำนวนโบราณ ใครเป็นหนึ่งในร้อยถือว่าหายาก ก็คนสมัยก่อนมีน้อย กว่าจะหาคนได้ครบร้อยก็ยากเต็มที แต่ถ้าคิดว่า นักเรียน 2 ห้องโตขึ้น จะมีคนป่วยเป็นโรคจิตนี้ซัก 1 คน คนงานบริษัทโรงงานที่คุณอยู่ 2,000 มีเป็นราว 20 คน ถ้ามีคนเฉลี่ยครอบครัวละห้าคน นับไป 20 หลังคาเรือน ก็เจอคนป่วยหนึ่งคน หรือเมืองไทย จะมีคนป่วยราว 600,000 คน ตอนนี้ เริ่มรู้สึกน่าเป็นห่วง

 

[ads]

 

   ที่ทำให้น่าคิดเพิ่มขึ้นไปอีกก็คือ อายุที่คนเหล่านี้เริ่มป่วย มักเป็นวัยรุ่นตอนปลาย อายุราวๆ 17-18 ถึง 20 ต้นๆ ถ้าเป็นนักเรียนก็เป็นมัธยมปลาย ปวช.ปีท้ายๆ จนถึงเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ปี 2 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวัยที่กำลังสวยงาม เต็มไปด้วยอุดมการณ์ความฝันที่จะออกมาประกอบอาชีพ หรือทำประโยชน์แก่ครอบครัวและสังคม แต่ต้องกลับมาป่วยด้วยโรคที่ค่อนข้างรุนแรงและเรื้อรัง แม้จะไม่ได้ทำให้ล้มตายไปก็ตาม

ชวนให้คิดว่าทำไมคนเราถึงเป็นโรคจิตได้ๅ????

   โรคจิตหรือโรคจิตเภทมีสาเหตุหลายๆ อย่างมาประกอบกัน ไม่อาจตอบเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียวแบบโจทย์คณิตศาสตร์ อย่างที่เราชอบค้นหาให้ได้ว่า เพราะอย่างนั้นอย่างนี้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ละคนก็มีอาการต่างๆ กันไป ทำให้ตอบให้แน่ชัดได้ลำบาก

   ตั้งแต่เกิดมา เด็กทุกคนย่อมรับส่วนต่างๆ ของพ่อแม่ปนกันมา ทางกรรมพันธุ์ ซึ่งแน่นอน กรรมพันธุ์ของพ่อแม่เองก็รับมาจากเทือกเถาเหล่าเครือญาติอื่นมาเป็นทอดๆ สิ่งที่ถ่ายเทลงมามีทุกอย่างทั้งความปราดเปรื่อง ความสูงต่ำดำขาว เหมือนสมัยเราเรียนตอนเด็กเรื่องถั่วต้นสูงผสมต้นเตี้ย โรคหลายโรครวมทั้งโรคจิตก็เฮลงมาด้วย แม้พ่อแม่อาจไม่มีอาการ แต่ก็เป็นคนส่งต่อได้ เด็กที่รับกรรมพันธุ์โรคจิตมา ก็ถือว่าเสี่ยงจะเป็นโรคมากกว่าใครทั่วไป ยกตัวอย่างความแรงของพันธุกรรมให้ฟัง ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้หนึ่งคน ลูกเกิดมาจะเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้กว่าคนทั่วไปราว 12 เท่า ถ้าทั้งพ่อทั้งแม่เป็นแล้วมามีลูกด้วยกัน เสี่ยงขึ้น 40 เท่า ถ้าเด็กแฝดเหมือนคนหนึ่งเกิดป่วยด้วยโรคจิต แฝดอีกคนมีโอกาสครึ่งต่อครึ่งถึงเด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่ป่วย ไปให้คนอื่นเลี้ยง โอกาสป่วยก็เป็น 12 เท่าอยู่ดี ตรงนี้แสดงว่า โรคนี้เกิดจากพันธุกรรมเป็นหลัก หาใช่ความผิดที่พ่อแม่เลี้ยงลูกมาไม่ดีไม่

   ต้องขอเน้น เนื่องจากพ่อแม่บางส่วนจะรู้สึกผิดว่าตนเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดีอย่างมาก คนทั่วไปชาวบ้านก็มักเข้าใจอย่างนี้ เอาพ่อแม่ไปนินทาว่า เลี้ยงลูกอย่างนี้ ลูกถึงได้ป่วย เลยพลอยอับอายหลบซ่อน ไม่กล้าพาลูกไปรักษา (แต่ก็ไม่ได้แปลว่า เลี้ยงยังไงก็ได้นะครับ เพราะถึงไม่เป็นโรคจิต ถ้าเลี้ยงไม่ดีเด็กก็มีโอกาสเป็นโรคทางจิตเวชอื่นอีกตั้งเยอะ)

  อย่างไรก็ตาม ทางปฏิบัติของพ่อแม่และคนในครอบครัวต่อผู้ป่วยโรคนี้ จะมีส่วนอย่างมากต่อการกำเริบของโรค หากเว้นการแสดงอารมณ์ที่รุนแรง หรือวิพากษ์วิจารณ์ใส่กัน แบบตัวอิจฉา กับนางเอกละครไทยปะทะกันหลังข่าวลงย้อนกลับมาเข้าเรื่องอีกที ว่าเจ้าพันธุกรรมไปทำอะไรกับคนที่โชคร้ายเหล่านี้จนป่วยขึ้นมา

   อย่างที่ทราบกันคือ พันธุกรรมมีส่วนกับการพัฒนาของอวัยวะทุกส่วน รวมถึงสมองอันเป็นส่วนที่เกิดโรคใโรคจิตขึ้น เชื่อว่า อาจทำให้เซลล์สมองตอนกำลังโตเรียงตัวกันไม่ถูกชั้นถูกแนวนัก โดยถ้านำคนไข้บางคนมา X-ray สมอง พบว่า บางรายมีขนาดของบางส่วนของสมองต่างไปจากจากขนาดเฉลี่ยของคนทั่วไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่มากมาย หรือกลายเป็นก้อนในสมองแต่อย่างใด ผลที่สำคัญกว่าของการพัฒนาของเซลล์สมองที่มีหลายพันล้านตัวพวกนี้ผิดปกติ ก็คือ ทำให้เซลล์เหล่านี้ "คุย" กัน (แม้จะอยู่กันคนละพรรคคนละขั้ว) ไม่สะดวกหรือถูกต้องเท่าเดิม

   ปกติวิธีการคุยกันของเซลส์สมองก็คือปล่อยสารเคมีชนิดต่างๆ มาเป็นภาษาสื่อกัน พันธุกรรมของโรคนี้จะทำให้เกิดความบกพร่องในสารเคมีหลายภาษา โดยเฉพาะที่ชื่อ โดปามีน (dopamine) และ ซีโรโทนิน (serotonin) ซึ่งจะเสียสมดุลไป จนเกิดมีอาการของโรคในแง่ที่มีความคิดที่ไม่สมเหตุผล แปลกๆ จนกระทั่งเกิดหูแว่วประสาทหลอน หรือเหม่อลอย เฉยเมย ขึ้นในที่สุดหลายคนคงนึกถึงยาบ้า หรือ amphetamine ว่า อ๋อ มิน่าเล่า กินยาบ้าถึงได้บ้าได้สมใจ ก็เพราะ amphetamine จะไปทำให้สารเคมีกลุ่มที่เล่าแล้วเสียสมดุลไปได้เหมือนกัน

  นอกจากนี้ คนแก่ที่มีสมองเสื่อม คนที่มีโรคทางสมอง เช่น ลมชัก หรือสมองเคยได้รับการกระทบกระเทือน เป็นโรคสมองอักเสบ เป็นโรคตับโรคไตที่มีของเสียค้างในตัวมาก จนขึ้นไปรบกวนการทำงานของสมอง ซึ่งหมายถึงระบบภาษาสารเคมีนั้นๆ ก็เกิดอาการเหมือนโรคจิตได้

  มาถึงตรงนี้ คงเข้าใจมากขึ้นว่า หากเกิดเป็นโรคนี้ เราก็ต้องหาทางทำให้ระดับสารเคมีสื่อสารเหล่านี้กลับสู่สมดุลอีกครั้ง ซึ่งพระเอกในที่นี้ ก็ได้แก่ยารักษาโรคจิต ที่มีทั้งชนิดกินและฉีด และเดี๋ยวนี้ มีการพัฒนาประสิทธิภาพการรักษาไปอย่างมาก ในขณะที่ผลข้างเคียงเดิมๆ เช่น ง่วงนอน ลดลงไปมาก

   อยากทำความเข้าใจสักนิดว่าการรักษาโรคนี้ ซึ่งได้แก่การรักษาสมองเป็นเรื่องที่อาศัยเวลา อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ในการทำให้อาการสงบ และต้องกินยาต่อไปอีกหนึ่งปี เพื่อไม่ให้การเป็นซ้ำ ซึ่งมีโอกาสสูงมาก เกิดขึ้นอีก เรายังพบด้วยว่า คนที่หยุดยาเอง พอเป็นซ้ำมักอาการรุนแรงและรักษายากกว่าตอนเป็นครั้งแรกมาก

 

[ads=center]

 

ขอบคุณข้อมูลจาก:ผศ.น.พ.ปราโมทย์ สุคนิชย์ :กรมสุขภาพจิต [Online]http://www.dmh.go.th

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: