นายกฯ แนะทุกคนใช้สมองให้มาก เพราะคนฉลาดกว่าคอมพิวเตอร์





พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีงานวันครูครั้งที่ 64 พ.ศ. 2563 ภายใต้แนวคิด “โลกก้าวไกล สร้างสรรค์คุณภาพเด็กไทย” เพื่อประกอบพิธีระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ส่งเสริมความสามัคคีธรรม ระหว่างครูและสร้างความเข้าใจอันดี ระหว่างครูกับประชาชน พร้อมกับส่งเสริมยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ที่ประกอบคุณงามความดีหรือทำคุณประโยชน์ต่อวงการการศึกษาและเป็นแบบอย่างให้กับเยาวชนรุ่นหลังได้ยึดถือปฏิบัติตาม

โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีมาถึงได้มีการเปิดวีดิทัศน์ ความรู้สึกของคุณครูวีระ เดชพันธุ์ คุณครูของนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งเข้าศึกษาที่โรงเรียนนวลนรดิศ ปี พ.ศ. 2518 จนจบการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเตรียมทหาร โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบธูปเทียนแพ เพื่อระลึกในพระคุณครูแด่คุณครูวีระ พร้อมกับมอบรางวัลเชิญชูเกียรติแก่บุคลากรทางการศึกษา

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนได้นึกถึงพระคุณของครูเสมอมา ทั้งคุณแม่และภรรยาเป็นครู ส่วนตัวนั้นอยู่ในวงการครูมาทั้งชีวิต และตลอดระยะเวลา 40 ปีในการรับราชการในกองทัพ ตนก็เป็น ครูทหาร สอนตั้งแต่นายสิบ ได้มีการสอนแนะนำทางการดำรงชีวิตการทำงานการรบได้มีการหารือร่วมกันจึงถือว่าเป็นครูเช่นเดียวกัน และต้องปฏิบัติให้ได้เพราะพญามัจจุราชมีอำนาจเยอะมีบริวารมากมายจึงขอให้ทำความดีเข้าไว้ เพราะ เด็กจะดีหรือไม่ดีครูเป็นผู้เสริมเติมแต่งสีต่างๆลงบนผ้าขาวบริสุทธิ์ สอนให้เป็นคนรู้จักคิด

ทั้งนี้ ประเทศไทยเองอยู่ในการเปลี่ยนแปลงเดินหน้าสู่การพ้นจากการต่างๆซึ่งทุกอย่างต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลง อาศัยความเข้าใจไม่มีพื้นฐานในหลักคิดหรือ ความเข้าใจ เพราะถ้าไม่มีความเข้าใจก็จะทำไม่ได้สักอย่าง จึงขอฝากครูทุกคนว่า ครูจึงมีบทบาทสำคัญที่สุดในระบบการศึกษาการมีการเรียนการสอนนอกจากให้ความรู้ต้องบ่มเพาะศีลธรรมจรรยาศิลธรรมมี 5 ข้อ เข้าในแก่นแท้ของศาสนาแห่งความปรองดองความสามัคคีไม่ใช่ความแตกแยก สังคมจึงจะสงบขึ้นได้เร็ว

ทุกวันนี้ ประเทศมีแต่ปัญหาภาคใต้ซึ่งนับวันก็ต้องช่วยกันให้ดีขึ้น ขออย่าบอกว่าเป็นเรื่องไม่ดี เพราะถ้าเป็นการต่อสู้ในเรื่องของความคิดก็เป็นเรื่องที่ยากรวมไปถึงมีคนจํานวนหนึ่งที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเราต้องแก้ไขเพราะนี่คือบ้านของเรา ทุกคนต้องมองกระจกต้องมองให้สะท้อนให้เห็นว่าตนเองนั้นวันนี้จะทำอะไรคิดอะไรจะอธิบายในสังคมว่าอย่างไร ซึ่งตนเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แม้จะเป็นทหารมาก่อนก็ค่อนข้างที่จะดุสมัยนั้น ตนก็ยอมรับได้เมื่อมาอยู่ในบทบาทนี้ตนก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองซึ่งก็นับว่าเปลี่ยนไปมากพอสมควร อดทนมากขึ้นพยายามสร้างความเข้าใจให้มากขึ้น

ส่วนกฎหมายจะต้องไม่กระทบกับใคร ทุกคนอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงมาขัดแย้งกันไม่ได้ หากมีความคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงจะต้องคำนึงด้วยว่าจะส่งผลกระทบต่อใครอย่างไรบ้าง พร้อมกับฝากครูสร้างศิษย์ ให้มีทัศนคติที่ดี ซึ่งไม่ใช่การรักตนเอง แต่ต้องรักชาติบ้านเมือง เหมือนกับตนที่รักมาโดยตลอดชีวิต และยึดมั่นจงรักภัคดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นหลักของประเทศ นอกจากนี้ยังได้ฝากไปยังครูและทุกกระทรวงในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เช่นการไปดูงาน ขอให้ได้ประโยชน์ไม่ใช่การไปเที่ยว และย้ำว่าให้ทุกคนใช้ความคิดใช้สมองให้มากๆ เพราะสมองของทั้งตนเอง และทุกๆ คนนั้นฉลาดกว่าคอมพิวเตอร์ แค่ต้องใช้ให้ครบทุกด้าน ช่วยกันคิดให้มากๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและประเทศเดินหน้าไปได้

ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรียังกล่าวว่าเมื่อตอนเป็นเด็กตนเองย้ายโรงเรียนบ่อยเพราะพ่อเป็นทหารต้องตามไปทุกที่ กว่าจะโตมาได้ก็ดีแล้วแหละไม่คิดว่าตนเองจะได้มาเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารบกก็ไม่เคยคิด พร้อมถามคุณครูของตนเองแบบติดตลกว่า ตอนเด็กคิดว่าตนเองจะพูดเยอะขนาดนี้หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าคงไม่คิด แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว.

ข่าวจาก ข่าวช่องวัน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: