ถ้าไม่มีพระมหากษัตริย์ไทย คงไม่มีพื้นที่ให้ “คนรุ่นใหม่” ได้ยืนในวันนี้…ความในใจของด.ช.ที่ได้กราบพ่อหลวงในวันนั้น





คงได้อ่านประวัติเรื่องราวความเป็นมาของ “บุคคลในภาพประวัติศาสตร์” ไปบ้างแล้ว สำหรับคนต้นเรื่องอย่าง “คุณพยุงศักดิ์ กาฬมิค” ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักงานคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ภาค 4 เด็กน้อยที่ก้มลงกราบพระบาทในหลวงรัชกาลที่ 9 บริเวณพื้นที่ตรงข้ามกับสนามบินบ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เนื่องจากคุณพ่อซึ่งรับราชการทหาร และตัวเขาเองเคยได้ใช้ชีวิตอยู่ในค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี จึงตามครอบครัวไปรับเสด็จ กลายเป็นได้ภาพแห่งความทรงจำ สื่อหลายสำนักทั่วประเทศพากันประโคมข่าวบอกเล่าความดีงาม 

ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณพยุงศักดิ์ กาฬมิค ถึงเรื่องราวในยุคที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนผ่าน จากในหลวงรัชกาลที่ 9 เข้าสู่รัชกาลที่ 10 กับการดำเนินชีวิตที่สำนึกในบุญคุณแผ่นดินไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ จากวันนั้นจวบจนวันนี้ ที่ตัวเขาเองซาบซึ้งมาเสมอว่า เป็นเพราะพระบารมีของราชวงศ์ไทย ทำให้มีผืนแผ่นดินทำกินอาศัยตั้งแต่บรรพบุรุษปลูกฝังให้เจริญเติบโตมีหน้าที่การงานทำที่ดีมาจนวันนี้

“ถ้าถามว่าทำไมผมต้องนั่งท่านี้ตอนกราบในหลวง ร.9 เพราะผมรู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร รู้โดยอัตโนมัติ มันเป็นความซึมซับที่คุณพ่อ คุณแม่ ได้ทำให้เราดูเป็นแบบอย่าง รวมถึงการบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์เกี่ยวกับราชวงศ์จักรีตั้งแต่เล็ก เมื่อเจอพระองค์ การนั่งลงท่านี้จึงเป็นท่าที่มาจากความรู้สึกว่าเราต้องก้มลงให้ต่ำ ไม่ได้ทำเพราะผู้ใหญ่สั่งให้ทำ แต่มันมาจากจิตสำนึกของเด็ก ที่พ่อกับแม่เคยถ่ายทอดให้ดูเป็นแบบอย่าง”

คุณพยุงศักดิ์ กาฬมิค เล่าย้อนกลับไปว่า ภาพที่ปรากฏออกสื่อ เป็นภาพที่ตนเองยังอายุได้เพียง 4 ขวบเท่าทั้น ชีวิตในวัยเด็กถูกปลูกฝังมาเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป เวลาว่างได้ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้ดูทีวีขาวดำบ้าง ฟังวิทยุบ้าง ซึ่งสมัยก่อนไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หรือมีสื่อทางเลือกมากมายอย่างวันนี้ การถ่ายทอดสื่อสารเรื่องราวประวัติศาสตร์ค่อนข้างชัดเจน ไม่ผิดเพี้ยนหรือถูกแปลงสารออกไป ผิดกับเด็กรุ่นใหม่ ที่ได้รับวัฒนธรรมจากสื่อหลายด้าน โดยเฉพาะโลกโซเชียล  

“เพราะทุกวันนี้โลกเปิดกว้าง ให้อิสระทางความคิดของคน เด็กรุ่นเก่ากับเด็กรุ่นใหม่จึงมีวิธีคิดที่ต่างกันออกไป ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล วิจารณญาณ และการอบรมสั่งสอนบอกเล่าของคนในครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทยเป็นเรื่องที่ควรศึกษาให้ชัดเจนถ่องแท้ คนที่จะบอกเล่าและถ่ายทอดได้ดีที่สุดต้องเป็นคนที่เข้าใจมากที่สุดและต้องรู้จริงเรื่องราวต่างๆ จึงจะสืบต่อไป เด็กรุ่นใหม่จึงจะเข้าใจถึงความเป็นมาของสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น”    

คุณพยุงศักดิ์ บอกด้วยว่า รู้สึกภาคภูมิใจที่ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมากก่อน ด้วยความเสียสละเลือดเนื้อของสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้รุ่นพ่อรุ่นแม่ รุ่นเรา และเด็กรุ่นใหม่ ได้มีผืนแผ่นดินไทย ที่อยู่อาศัยทำกินและดำรงชีวิตได้มาจนทุกวันนี้

“หลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนในประเทศไทยเราได้บรรจุเรื่องราวมากมายทั้งในและต่างประเทศ มันคงจะดีกว่านี้หากเราบรรจุวิชาประวัติศาสตร์เข้าไปให้ได้เรียนรู้ตั้งแต่เด็กๆ เพราะประวัติศาสตร์ นอกจากจะมีความเป็นมาจากข้อเท็จจริงแล้วยังน่าอ่าน น่าติดตาม  หรืออีกทางหนึ่งอาจจะจัดอบรมบรรยายถ่ายทอดข้อมูลโดยผู้ที่มีความรู้จริงๆ ไปสู่บุคคลที่สนใจศึกษาจริงๆ เป็นกลุ่มแรก ผมเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเด็กๆ ที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต” นายพยุงศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย 

ข่าวจาก ไทยรัฐออนไลน์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: