ผ่างบรายจ่ายปี’61 “2.9ล้านล้าน” กระทรวงศึกษาฯได้เยอะสุด 5.1แสนล้านบาท-กลาโหมอยู่อันดับ4(มีคลิป)





 

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ถกร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 61 รวม 2.9 ล้านล้าน ร่วม 8 ชม. นายกฯ ยันยังไม่คิดขึ้นภาษี คาดปีหน้าเก็บได้ 2.56 ล้านล้าน ถามกระจายตำรวจไปท้องถิ่นเข้มแข็งดีแล้วหรือไม่ รบกันเองทำอย่างไร ลั่นพร้อมสอบหากหาคนจ่ายวิ่งเต้นได้ ยัน พ.ร.บ.สื่อไม่ได้จำกัดสิทธิ์ รับด้าน สธ. สิ่งแวดล้อม การศึกษา แย่แต่ไม่เลวร้าย แก้ราชการค้างค่าไฟใน 3 เดือน ไม่มีอะไรได้มากเปล่าๆ ถ้าไม่ลงทุน ก่อนที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ 216 เสียงรับหลักการ 
       
8 มิ.ย.60 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 จำนวน 2.9 ล้านล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งบประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท เป็นหนึ่งในความพยายามขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ขับเคลื่อนยุทธศาสร์ นโยบายสำคัญเร่งด่วน เป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยเป็นการจัดทำงบประมาณแบบงบขาดดุลเพราะการใช้จ่ายภาครัฐยังมีความจำเป็น ต้องการทำให้เกิดการจ้างงานหมุนเวียนเศรษฐกิจ สนับสนุน ประเทศ ฟื้นตัว เกิดการปฏิรูปโครงสร้างอย่างเป็นรูปธรรม พัฒนาขีดความสามารถธุรกิจ
       
“สำหรับการจัดเก็บรายได้ รัฐบาลยังไม่มีความคิดที่จะขึ้นภาษีเงินได้ หรือ VAT เพื่อเพิ่มรายได้ ให้รัฐในเวลานี้ แต่ก็พยายามปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีอื่นๆให้สอดคล้องกับสภาพสังคมเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ โดยคาดว่า ปี 2561 รัฐจะจัดเก็บรายได้ 2.56 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 3.4 หลังหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้วเหลือ 2.45 ล้านล้านบาท และกู้เพิ่มเพื่อนำมาชดเชยการขาดดุล 4.5 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประทศ ซึ่งการขาดดุลดังกล่าวอยู่ในระดับเหมาะสมไม่กระทบต่อวินัยฐานการคลัง”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
       
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ปี 2561 เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 3.3 – 4.3 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2560 ทั้งจากปัจจัย การส่งออก การบริการ และเศรษฐกิจการค้าโลก รวมถึงอุปสงค์ในประเทศเพิ่มต่อเนื่อง และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและการลงทุนเอกชนที่ขยายตัว การใช้จ่ายของภาคครัวเรือน โดยการจัดทำงบประมาณเป็นตามกรอบโดยน้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ควบคู่กับแนวนโยบายที่เคยแถลงต่อรัฐสภาและแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับ ที่ 12 ซึ่งจากงบประมาณ 2.9 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาจำ 2.15 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 74 ของงบทั้งหมด งบลงทุน 6.59 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 22.8 ของงบทั้งหมด และงบสำหรับชำระคืนต้นเงินกู้ 8.6 หมื่นล้านบาท หรือร้อยละ 3
       
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการเร่งรัดการใช้งบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับหลักการ เรื่องหนี้สาธารณะ งบค้างท่อ เพื่อนำงบไปทำภารกิจเร่งด่วน โดยต้องมีเหตุผลเพียงพอ ส่วนโครงการขนาดใหญ่ ที่ติดปัญหาประชาพิจารณ์ก็ให้ซอยโครงการขนาดเล็ก เพื่อให้เริ่มโครงการได้ ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องจัดงบให้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ที่เราจำเป็นต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อป้องปราบการคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
       
มีรายงานว่า ในช่วงหนึ่งของการชี้แจง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ กล่าวถึงการปฏิรูปตำรวจว่า วันนี้มีแนวคิดการปฏิรูปตำรวจกี่แนวคิด ถามว่าถ้าตำรวจแย่มากจะอยู่กันได้หรือไม่ ถ้าเสนอให้กระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นขอถามว่าวันนี้ท้องถิ่นเข้มแข็งแล้วหรือไม่ หากอนาคตมีตำรวจท้องถิ่นแล้วเกิดรบกันเองจะทำอย่างไร เรื่องนี้ต้องเดินไปทีละขั้นหรือไม่ ไม่แน่ใจ รวมถึงข้อเสนอแยกงานสอบสวน ขอให้ทุกคนช่วยคิดด้วย นอกจากนี้กรณีปัญหาการแต่งตั้ง หากหาได้ว่าใครจ่ายเงินเพื่อโยกย้ายตำแหน่งตนจะสอบสวนให้ทั้งหมด
       
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงการเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนว่า มีอยู่วิชาชีพหนึ่งที่ไม่ยอมดูกันเอง ทั้งที่บอกว่าจะดูแลกันเอง แล้วดูแลกันได้หรือไม่ แต่ไม่ยอมให้ตั้งอะไรทั้งสิ้น แล้วเป็นอย่างไรข่าวไอ้เปรี้ยวลงมา 3 อาทิตย์แล้วเต็มไปหมด ทำให้กระเป๋าลายขายดีอีก เด็กๆ ซึมซับไม่รู้อะไรผิดถูก ตนเคยคุยกับสื่อแล้ว เขาบอกว่า ไม่เสนอก็ตกข่าวเพราะฉบับอื่นเสนอหมด อย่างนี้สมาคมสื่อดูแลกันได้หรือไม่ ไปหารือกันให้ได้ เพราะสมาคมบอกว่าดูแลกันเองได้ พ.ร.บ.สื่อไม่ได้จำกัดสิทธิ ให้สื่อคุมกันเอง ถ้าคุมไม่ได้ สมาคมสื่อโดนด้วย
       
“การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 เป็นความตั้งใจ และความพยายามของรัฐบาลในการวางแผนและจัดทำงบประมาณอย่างรอบคอบโปร่งใส ไม่ใช่ไปบังคับให้ทำเพื่อสืบอำนาจ คสช. เราต้องชี้แจงให้ประชนเข้าใจว่า ต้องกระจายความเจริญให้เท่าเทียมกันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สมาชิก สนช.จะรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพื่อให้รัฐบาลยึดเป็นหลักในการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินอย่างคุ้มค่าโปร่งใส เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
       
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังชี้แจงถึง ด้านสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการศึกษาว่า หลายคนบอกว่าแย่ก็แย่จริง แต่ไม่เลวร้ายซึ่งตนรู้ทุกปัญหา วันนี้ต้องการให้ทุกคนดูในสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีแก้ไขได้ ส่วนกระทรวงกลาโหม น่าจะพัฒนาการสร้างเรือดำน้ำเองจะได้ไม่ต้องไปซื้อเขา แต่ใครจะกล้าดำลงไปยังไม่รู้เลย ส่วนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับ ธกส.ตนพร้อมรับฟัง และจะแก้ปัญหาให้ รวมถึงปัญหาหน่วยงานราชการค้างค่าไฟต้องเร่งแก้ไข โดยให้ไปจ่ายภายใน 3 เดือน โดยไม่ต้องมาทวงอีก ทุกเรื่องที่สมาชิกเป็นห่วงตนรับทุกเรื่องไม่ได้โกรธใครเลย วันนี้รัฐบาลทำหลายอย่างมีคณะกรรมการขับเคลื่อน 6 คณะ ทุกคณะทำงานหมด ก่อนจะทำให้โลกสวยจะต้องทำให้อากาศปลอดโปร่งก็ท้องฟ้าแจ่มใสก่อน ดังนั้น ต้องรู้จักให้จึงจะเป็นผู้รับได้มากขึ้น ไม่มีอะไรได้มากเปล่าๆ ถ้าไม่ลงทุน ถ้าไม่คิดเปลี่ยนแปลงการปฏิรูปสิ่งใหม่ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น ตนหวังว่าสมาชิกจะให้การสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพื่อเป็นแนวทางให้รัฐบาลดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
       
จากนั้น เวลา 18.10 น. ที่ประชุมได้มีมติเอกฉันท์ 216 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง รับหลักการร่างพ.ร.บ.รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 พร้อมตั้งกมธ.วิสามัญ จำนวน 50 คน เพื่อพิจารณาต่อไป รวมเวลาการปภิปรายทั้งสิ้น 8 ชม. 

 

 

ตามดู “ร่างงบรายจ่ายปี 61 วงเงิน 2.9 ล้านล้าน พบยุทธศาสตร์ความมั่นคง 2.7 แสนล้าน มากกว่ายุทธศาสตร์น้ำ 1.2 แสนล้าน

14 พ.ค.60 มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ภายหลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน มีมติเห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 และข้อเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ได้แก่ งบประมาณการรายจ่าย ปีงบประมาณ 2561 ที่ 2.9 ล้านล้านบาท ลดลง 23,000 ล้านบาท จากปีงบประมาณ 60 ขณะที่รายได้งบประมาณปี 2561 อยู่ที่ 2.45 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 79,921 ล้านบาท และตั้งขาดดุลงบประมาณ 450,000 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2561 เติบโตได้ 5.8% เมื่อหักเงินเฟ้อออกแล้ว จะเหลือประมาณ 3.5-3.6%
       
สำหรับงบประมาณการรายจ่ายไว้ที่ 2.9 ล้านล้านบาท ลดลง 0.8% จากปีงบประมาณ 2560 แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 2.15 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 74.2% ลดลง 2,552 ล้านบาท, รายจ่ายลงทุน 659,924 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22.8% เพิ่มขึ้น 875 ล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 86,942 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.0% เพิ่มขึ้น 5,755 ล้านบาท
       
ทั้งนี้ หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด 3 อันดับแรก คือ กระทรวงศึกษาธิการ 510,961 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 2,999 ล้านบาท หรือลดลง 0.6%, งบกลาง 394,326 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 54,554 ล้านบาท หรือลดลง 12.2% และกระทรวงมหาดไทย 355,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20,849 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.2%
       
วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 
       
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ได้กำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน 2,900,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เพื่อให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น มีงบประมาณรายจ่ายเพียงพอในการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนา ประเทศให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน โดยมีประมาณการรายได้สุทธิ จำนวน 2,450,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และกำหนด วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 450,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งการขาดดุลงบประมาณจำนวนดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบ ต่อวินัยและฐานะการคลังของประเทศในระยะยาว โดยมีโครงสร้างงบประมาณ สรุปได้ดังนี้
       
1) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 2,900,000 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 23,000 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.8 โดยวงเงินงบประมาณดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
       
2) รายจ่ายประจำ รายจ่ายประจำกำหนดไว้เป็นจำนวน 2,153,133.7 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 2,552.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.1 โดยรายจ่ายประจำดังกล่าวคิดเป็น สัดส่วนร้อยละ 74.2 ของวงเงินงบประมาณ เทียบกับร้อยละ 73.8 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
       
3) รายจ่ายลงทุน รายจ่ายลงทุนกำหนดไว้เป็นจำนวน 659,924 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 875.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 โดยรายจ่ายลงทุนดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 22.8 ของวงเงินงบประมาณ เทียบกับร้อยละ 22.5 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
       
4) รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ได้จัดสรรไว้เป็นจำนวน 86,942.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 5,755.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 โดยรายจ่ายชำระคืน ต้นเงินกู้ดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3 ของวงเงินงบประมาณ เทียบกับร้อยละ 2.8 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
       
จำแนกเป็น 6 กลุ่ม-จำแนกตามกระทรวง “ศึกษาธิการ” 510,961 ล้านบาท
       
1 ) งบกลาง กำหนดไว้เป็นจำนวน 76,566.3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.6 ของวงเงินงบประมาณ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ จำนวน 63,000 ล้านบาท ซึ่งรวมอยู่ในกลุ่มงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ และค่าใช้จ่ายบุคลากร ซึ่ง รวมอยู่ในกลุ่มงบประมาณรายจ่ายบุคลากรภาครัฐ)
       
2 ) กลุ่มงบประมาณรายจ่ายบุคลากรภาครัฐ กำหนดไว้เป็นจำนวน 1,021,506.3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.2 ของวงเงินงบประมาณ
       
3 ) กลุ่มงบประมาณรายจ่ายกระทรวง/หน่วยงาน (Function) กำหนดไว้เป็นจำนวน 585,037.5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 20.2 ของวงเงินงบประมาณ (ไม่รวมเงินอุดหนุนให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งรวมอยู่ในกลุ่มงบประมาณรายจ่ายพื้นที่) จำแนกเป็น (3.1) แผนงานพื้นฐาน จำนวน 306,306.6 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.4 ของวงเงินงบประมาณกลุ่ม (3.2) แผนงานยุทธศาสตร์ จำนวน 278,730.9 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47.6 ของวงเงินงบประมาณกลุ่ม
       
4 ) กลุ่มงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ (Agenda) รวม 26 แผนงาน กำหนดไว้เป็น จำนวน 582,626.9 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.1 ของวงเงินงบประมาณ
       
5 ) กลุ่มงบประมาณรายจ่ายพื้นที่ (Area) (ภารกิจพื้นที่ ท้องถิ่น ภูมิภาค จังหวัด กลุ่มจังหวัด) รวม 3 แผนงาน กำหนดไว้เป็นจำนวน 373,444.1 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.9 ของวงเงินงบประมาณ
       
6 ) กลุ่มงบประมาณรายจ่ายบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ กำหนดไว้เป็นจำนวน 260,818.9 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9 ของวงเงินงบประมาณ
       
ทั้งนี้ จำแนกตามกระทรวงดังนี้ งบกลาง 394,326,061,000 บาท หรือ ร้อยละ 13.6 ,สำนักนายกรัฐมนตรี 34,104,373,400 บาท หรือร้อยละ 1.2 ,กระทรวงกลาโหม 222,436,597,500 บาท หรือร้อยละ 7.7 ,กระทรวงการคลัง 238,356,050,300 บาท หรือร้อยละ 8.2 ,กระทรวงการต่างประเทศ 8,780,436,500 บาท หรือร้อยละ 0.3 ,กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 6,794,823,400 บาท หรือร้อยละ 0.2 ,กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 13,905,929,800 บาทหรือร้อยละ 0.5 ,กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 102,559,663,700 บาท หรือร้อยละ 3.5 ,กระทรวงคมนาคม 172,876,279,500 บาท หรือร้อยละ 6.0 ,กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 6,700,487,000 บาทหรือร้อยละ 0.2
       
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 34,706,449,600 บาทหรือร้อยละ 1.2, กระทรวงพลังงาน 2,273,729,000 บาท หรือร้อยละ 0.1, กระทรวงพาณิชย์ 7,151,813,700 บาทหรือร้อยละ 0.2, กระทรวงมหาดไทย 355,995,342,000 บาท หรือร้อยละ 12.3, กระทรวงยุติธรรม 24,818,155,900 บาท หรือร้อยละ 0.9, กระทรวงเเรงงาน 49,636,784,000 หรือร้อยละ 1.7, กระทรวงวัฒนธรรม 8,179,042,900 บาท หรือร้อยละ 0.3, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 14,623,100,300 หรือร้อยละ 0.5, กระทรวงศึกษาธิการ 510,961,812,600 บาท หรือร้อยละ 17.6, กระทรวงสาธารณสุข 136,168,837,100 บาท หรือร้อยละ 4.7, กระทรวงอุตสาหกรรม 5,332,811,800 บาท หรือร้อยละ 0.2
       
ส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง 130,740,085,100 บาท หรือร้อยละ 4.5, หน่วยงานของรัฐสภา 5,791,491,100 บาท หรือร้อยละ 0.2, หน่วยงานของศาล 21,735,137,600 บาท หรือร้อยละ 0.7, หน่วยงานอิสระของรัฐ 15,805,643,100 บาท หรือร้อยละ 0.5, จังหวัดและกลุ่มจังหวัด 32,653,520,400 หรือร้อยละ 1.1 , รัฐวิสาหกิจ 152,787,536,200 บาท หรือร้อยละ 5.3, กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน 181,346,711,200 บาท หรือร้อยละ 6.3, สภากาชาดไทย 8,451,294,300 บาท หรือร้อยละ 0.3

 

*ภาพจากรายการห้องข่าวภาคเที่ยง อัพเดทเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.60

 

*ภาพจากรายการห้องข่าวภาคเที่ยง อัพเดทเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.60

 

*ภาพจากรายการห้องข่าวภาคเที่ยง อัพเดทเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.60

(หากต้องการชมคลิปข่าว 
โปรดรอสักครู่ แล้วกดปุ่ม play บนคลิป) 


       
เผย 6 ยุทธศาสตร์ พบความมั่นคง 273,954 ล้าน มากกว่า ยุทธศาสตร์น้ำ 125,459.4 ล้าน
       
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ได้จัดทำขึ้นให้ สอดคล้องกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2558-2564) แผนแม่บทอื่นๆ และนโยบายสำคัญของรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่อง และเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยน้อมนำ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นแนวทางหลักในการปฏิบัติคำนึงถึงหลักความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดี เพื่อให้ประเทศไทยมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ สรุปดังนี้
       
1. ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง จำนวน 273,954 ล้านบาท เพื่อรักษาความมั่นคงของ ประเทศ เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ เทิดทูนและพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ รักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ เสริมสร้างศักยภาพ การป้องกันประเทศ ส่งเสริมความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศด้านความมั่นคง สร้างความปรองดองสมานฉันท์ ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัด ชายแดนภาคใต้ จัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ตลอดจนป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
       
2. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จำนวน 476,596.6 ล้านบาท เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมศักยภาพ ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก พัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและ บริการ พัฒนาศักยภาพการผลิตภาคการเกษตร เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง พัฒนาศักยภาพ ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม พัฒนาประสิทธิภาพและมูลค่าเพิ่มของภาคการผลิตบริการ การค้า และการลงทุน พัฒนาและยกระดับผลิตภาพแรงงาน พัฒนาความร่วมมือด้านต่างประเทศ สร้างและรักษาผลประโยชน์ชาติ
       
3. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน จำนวน 575,709.8 ล้านบาท เพื่อพัฒนาศักยภาพคนตามช่วงวัย ยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนาด้านสาธารณสุขและสร้างเสริมสุขภาพเชิงรุก ส่งเสริมและพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม
       
4. ยุทธศาสตร์ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างการเติบโตจากภายใน จำนวน 332,584.8 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและชุมชน เข้มแข็ง พัฒนาระบบประกันสุขภาพ สร้างความเสมอภาคเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ส่งเสริม การดำเนินงานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เสริมสร้างสวัสดิการสังคมและยกระดับคุณภาพชีวิต รวมถึงรายจ่ายบุคลากรภาครัฐและรายจ่ายพื้นฐานด้านการแก้ไขปัญหาความยากจนลดความเหลื่อมล้ำและสร้างการเติบโตจากภายใน
       
5. ยุทธศาสตร์ด้านการจัดการน้ำและสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จำนวน 125,459.4 ล้านบาท เพื่อจัดการปัญหาที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้ บริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน บริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ อนุรักษ์ ฟื้นฟู และป้องกันทรัพยากรธรรมชาติให้มีความหลากหลายทางชีวภาพคงความอุดมสมบูรณ์ เตรียมความพร้อมและรองรับเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศและภัยพิบัติ ตลอดจนพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
       
6. ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ จำนวน 784,210.1 ล้านบาท เพื่อลดปัญหาการทุจริตในสังคมไทย โดยปลุกจิตสำนึกและสร้างค่านิยมให้ ทุกภาคส่วนตระหนักรู้ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต คุณธรรม จริยธรรม ปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย เพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ยกระดับการบริการภาครัฐ ให้มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ได้รับบริการสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ให้มีการบูรณาการร่วมกันในทุกภาคส่วน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ปรับปรุงโครงสร้าง ภาษี อัตราภาษี และระบบการจัดเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม ตลอดจนพัฒนาระบบการจัดการงบประมาณ ให้มีประสิทธิภาพ ปฏิรูประบบราชการให้มีประสิทธิภาพ มีความคล่องตัวสูงและสนับสนุนการจัดการของ รัฐสภา ศาล หน่วยงานอิสระของรัฐ และพัฒนาประสิทธิภาพการตรวจสอบภาครัฐเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และเป็นธรรม
       
7. รายการค่าดำเนินการภาครัฐ จำนวน 331,485.3 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และการบริหาร จัดการหนี้ภาครัฐ 

ขอบคุณข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์ (http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9600000048618http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9600000058651), ch7.com

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: