ผิดไหม?! ที่ไม่อยากมีลูก





ก็เพราะถือคติ “มีลูกกวนตัว มีผัวกวนใจ” ผู้หญิงยุคใหม่ครึ่งค่อนโลกจึงครองตัวเป็นโสดไม่คิดมีครอบครัว ส่วนใครที่หลวมตัวแต่งงานไปแล้ว ก็มีแนวโน้มเหมือนกันทั้งโลกว่า ไม่อยากมีลูกเป็นห่วงผูกคอ และขอใช้ชีวิตลั้ลลาตามประสาคนคิดเยอะ

 

[ads]

 

   เทรนด์คนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก กลายเป็นประเด็นร้อนให้ถกเถียงอีกครั้ง เมื่อนิตยสารไทม์ขึ้นปกหรา “THE CHILDFREE LIFE” นำเสนอไลฟ์สไตล์ของคู่สามีภรรยารุ่นใหม่ที่สุขสุดๆเพราะไม่มีลูก โดยตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งๆที่สังคมมะกันนิยมการมีลูกเป็นชีวิตจิตใจ แต่อัตราการเกิดต่อประชากรในอเมริกากลับทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยระหว่างปี 2007-2011 อัตราการเกิดลดลงถึง 9% ขณะที่รายงานของสำนักวิจัยพิว ประจำปี 2010 ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยและสำรวจความคิดเห็นสาธารณชนที่สำคัญของอเมริกา ระบุว่า อัตราของคู่แต่งงานที่ไม่มีลูกกำลังเพิ่มสูงขึ้นในทุกเชื้อชาติ โดยปัจจุบัน มีผู้หญิงมะกันถึง 1 ใน 5 ไม่เคยตั้งครรภ์มีลูก คนละเรื่องกับยุคทศวรรษ 1970 ที่มีสัดส่วนเพียง 1 ใน 10

   คงปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวโน้มที่คู่สามีภรรยายุคใหม่ไม่อยากมีลูก ส่วนหนึ่งมาจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ที่ส่งผลร้ายให้เศรษฐกิจมะกันถดถอยจนถึงทุกวันนี้ แต่นอกเหนือจากปัญหาเรื่องเงินๆทองๆแล้ว การตัดสินใจแต่งงานโดยไม่คิดมีทายาทสืบสกุล ก็มีปัจจัยสนับสนุนหลายอย่าง โดยคอลัมนิสต์คนดัง “ลอเรน แซนด์เลอร์” วิเคราะห์ว่า การแต่งงานโดยไม่มีลูกเป็นห่วงผูกคอ ทำให้สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระเต็มที่ และวางเป้าหมายอนาคตได้ชัดเจน โดยไม่ต้องพะวักพะวง

   ถ้าเป็นสมัยก่อนคู่ไหนแต่งงานแล้วไม่มีลูก อาจถูกถามไม่เลิกว่า มีปัญหาอะไรในกอไผ่ แต่มาถึงยุคนี้แล้ว การมีลูกไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของชีวิตคู่อีกต่อไป แต่ถือเป็นทางเลือกของคู่สามีภรรยา สำคัญที่สุดคือแต่งงานแล้วจะมีลูกหรือไม่มีลูก ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า อะไรคือความหมายของชีวิต คุณอยากใช้ชีวิตในวันข้างหน้าอย่างไร อะไรคือความฝันสูงสุดของคุณ

   ลองจินตนาการดูว่า เมื่อคุณอายุ 80 ปี แล้วมองย้อนกลับไปในอดีต คุณอยากเห็นตัวเองเป็นอย่างไร สำหรับคนหลายคนอาจตอบว่า การได้เป็นพ่อแม่คนสำคัญที่สุด และมีความสุขกับการทุ่มเทเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่ขึ้น ขณะที่คนยุคใหม่จำนวนไม่น้อยกลับให้ความสำคัญมากกว่ากับความสำเร็จในหน้าที่การงาน และการสร้างความมั่งคั่งในชีวิต เพราะฉะนั้น การมีลูกก็อาจเป็นอุปสรรคที่ฉุดรั้งความฝันของพวกเขาหลายคนอาจเถียงว่า ปู่ย่าตายายและพ่อแม่ของเรา ยังมีลูกเป็นโขยง และเลี้ยงให้เติบโตขึ้นได้อย่างสบายๆ ไม่เห็นมีปัญหาอะไร แต่ต้องเข้าใจว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว โลกทุกวันนี้หมุนเร็วจนตามแทบไม่ทัน และเต็มไปด้วยการแข่งขันขับเคี่ยวรุนแรง การตัดสินใจมีลูกไม่ใช่คิดแค่ว่าแก่ไปจะได้มีคนเลี้ยง หรือมีลูกเพื่อให้ครอบครัวสมบูรณ์ แต่ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ

   ประเทศยิ่งเจริญเท่าไหร่ก็มีแนวโน้มที่คู่สามีภรรยาจะไม่อยากมีลูกมากเท่านั้น โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ปัญหาคนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก ได้กลายเป็นวาระแห่งชาติไปแล้ว โดยสะท้อนให้เห็นจากอัตราการเกิดต่อประชากรที่ลดลงอย่างฮวบฮาบมาตั้งแต่ปี 1950 จนต้องมีการรณรงค์ให้คนมีลูกกันมากขึ้น สาเหตุที่คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก ก็เพราะค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกสูงมาก เนื่องจากในญี่ปุ่นไม่มีระบบประกันเงินบำเหน็จบำนาญ ทำให้คู่สามีภรรยายุคดิจิตอลกลัวว่า พอแก่ตัวแล้วจะไม่มีเงินใช้ ขณะเดียวกัน ประเพณีญี่ปุ่นที่ยกงานบ้านทุกอย่างให้ภรรยา รวมถึงภาระการเลี้ยงดูลูก ทำให้ผู้หญิงญี่ปุ่นรู้สึกว่าเหนื่อยล้าเกินไป แถมสังคมยุคใหม่ยังเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ไม่ใช่ครอบครัวใหญ่เหมือนสมัยก่อน ไม่มีปู่ย่าตายายช่วยเลี้ยงหลาน ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือ สังคมยุคใหม่มีปัญหาพ่อแม่กำพร้าลูก แม้จะกัดฟันเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ได้ดี แต่เมื่อพ่อแม่แก่ตัวลง กลับไม่ได้รับการเหลียวแลจากลูกๆ สุดท้ายก็ต้องพึ่งตัวเองยามแก่เฒ่า… …คิดแล้วมันน่าช้ำใจ!!

ภาพ:Public Domain Pictures

 

ขอบคุณเนื้อหาwww.thairath.co.th/content/362441

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: