พลังงาน เตือนรับมือ ‘ค่าไฟ-เบนซิน-ดีเซล’ ขึ้นราคา





พลังงาน คือแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ในที่นี้รวมถึงค่าไฟฟ้า และ ราคาน้ำมัน ซึ่งปัจจัยภายนอกทั้งสงครามและกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังโควิดระบาดทำให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอยทำให้การบริหารจัดการด้านพลังงานต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังและเป็นธรรม

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติกำหนดอัตราเรียกเก็บค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 ที่หน่วยละ 4.68 บาทนั้นเป็นแค่ตัวเลขเสนอแนะ ส่วนราคาสุดท้ายอยู่ที่ฝ่ายบริหาร กระทรวงพลังงาน ภายใต้การกำกับของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะมีมาตรการเพื่อให้ค่าไฟอยู่ที่ราคาเท่าไหร่

“ขอยืนยันว่าราคาขายไฟฟ้าจริงจะไม่ใช่ตัวเลขที่สำนักงานกกพ. มีมติแน่นอน เพื่อที่จะไม่ให้ประชาชนผู้ใช้ไฟไม่ต้องรับภาระ จนหน้ามืดอย่างแน่นอน ราคาค่าไฟที่ 4.68 บาทต่อหน่วย เป็นแค่ตัวเลขการคำนวนเบื้องต้นที่คำนวนจาก กกพ. โดยยึดโยงจากตัวแปรหลักตัวแปรเดียว คือการชำระหนี้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งการทำงานของกกพ. ทำหน้าที่เป็นการเสนอแนะแนวทางเชิงทฤษฎี เสมือนทีมวิชาการ (Think Tank) ส่วนทีมบริหาร คือกระทรวงพลังงาน”

พีระพันธุ์รื้อโครงสร้างค่าไฟฟ้า

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ ได้กำชับคณะทำงาน โดยให้หาแนวทางลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน เพื่อที่จะได้ไม่ให้เจอแรงปะทะหลังเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะถึงนี้ โดยเบื้องต้นจะจัดการราคาไว้ให้อยู่ที่ 4 บาทต่อหน่วย และจะพยายามทำตัวเลขให้ลดลงได้มากที่สุด ซึ่งราคาใกล้เคียงความเป็นจริงที่กระทรวงพลังงานจัดการได้ที่ราว 4.20 บาทต่อหน่วย โดยใช้กลไกจัดการผสมผสาน หลายขั้นตอนกว่าการลดราคาค่าไฟปกติทั่วไป ไม่ได้ใช้แค่เรื่องประวิงหนี้ของกฟผ.อย่างเดียว

“ขอย้ำว่านี่คือการบริหารลดค่าครองชีพระยะสั้นให้ประชาชนเท่านั้น ทางกระทรวงพลังงาน ยังยืนยันการแก้ไขเชิงโครงสร้างทั้งเรื่องของก๊าซธรรมชาติ ต้นตอของปัญหาราคาไฟฟ้า และสนับสนุนพลังงานไฟฟ้าสะอาดระยะยาวต่อไป”

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในส่วนของมาตรการดูแลน้ำมันดีเซลและเบนซิน ได้ใกล้ที่จะครบกำหนดที่ภาครัฐได้มีนโยบายในการดูแลราคาเพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับภาคประชาชน โดยน้ำมันดีเซลใช้วิธีการการปรับลดภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันดีเซลลงประมาณ 2.50 บาทต่อลิตรร่วมกับการใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดูแลเพื่อให้ราคาขายปลีกหน้าสถานีบริการอยู่ที่ 29.94 บาทต่อลิตร ระหว่างวันที่ 20 ก.ย. 2566 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2566

สิ้นม.ค.67เบนซินเตรียมขึ้นราคา

ในขณะที่ราคาน้ำมันเบนซิน แบ่งเป็น แก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 2.50 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 95 ลดลงประมาณ 1 บาทต่อลิตร และแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 ลดลงประมาณ 80 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลระหว่างวันที่ 7 พ.ย. 2566 ถึง 31 ม.ค. 2567

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างเตรียมพร้อมเพื่อเข้าดูแลราคาพลังงานอย่างเต็มที่ ซึ่งถือว่าช่วงนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกไม่พุ่งสูงมากนัก หากนายพีระพันธุ์ มีนโยบายที่จะอุ้มราคาน้ำมันต่อในช่วงนี้ก็คงต้องใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งปัจจุบันได้กู้เงินเข้ามาเสริมสภาพคล่องพร้อมจ่ายให้กับคู้ค้ามาตรา 7 แล้วรวม 65,000 ล้านบาท กับการขอลดภาษีน้ำมันดีเซลเหมือนเช่นเคย ดังนั้น หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากการลดภาษีดีเซลก็อาจจะต้องขยับขึ้นเป็น 31.94 บาทต่อลิตร

“ตอนนี้ตอบยากว่ารัฐบาลจะใช้วิธีไหนเข้ามาดูแล แต่ด้วยแนวโน้มราคาที่ไม่พุ่งสูงมากนัก อีกทั้ง จากที่ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกช่วงสิ้นปีนี้จะยังคงอยู่ในระดับไม่เกิน 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อีกทั้ง หากมองแนวโน้มปีหน้าทางกลุ่ม บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) ประมาณการณ์ไว้ที่ระดับ 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังนั้น ก็คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงที่กระทรวงพลังงานจะบริหารจัดการแต่ก็คงต้องขอความร่วมมือกับกระทรวงการคลังด้วย”

แหล่งข่าว กล่าวว่า ดูเหมือนว่า ขณะนี้ นายพีระพันธุ์ ก็ได้ให้ความสนใจที่จะปรับแก้โครงสร้างราคาน้ำมัน แต่ไม่ทราบว่าอยู่ในขั้นตอนใดแล้ว แต่หากทำได้จริงก็อาจจะส่งผลดีต่อกลไกราคาที่หลายฝ่ายอยากเห็นว่าจะช่วยให้ราคาน้ำมันปรับลดลงได้ และเมื่อเข้าไปดูบัญชีของกองทุนน้ำมันพบว่า ณ วันที่ 26 พ.ย. 2566 ติดลบรวม 77,717 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 31,891 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือนติดลบ 45,826 ล้านบาท ก็ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่พอรับมือได้

นายกฯเรียกกกพ.ถกกดค่าไฟ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ต้องเข้าไปพูดคุยรายละเอียดทั้งหมดในฐานะประธาน กพช. ส่วนจะมีมาตรการต่อเนื่องหรือไม่ ก็ต้องไปนั่งดูก่อนเพราะเป็นเรื่องของงบประมาณด้วย แต่ขึ้นไปถึง 4.68 บาท คงไม่ไหว มากเกินไป แนวโน้มจะขึ้นจาก 3.99 บาท แต่ไม่ถึง 4.68 บาท แน่นอน

นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ค่าไฟฟ้าที่ปรับเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ภาคธุรกิจจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ค่าไฟถือเป็นต้นทุนการดำเนินธุรกิจปกติที่ 20-30% ก็จะเพิ่มขึ้นอีกระดับ 4-6% โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าสูง อาทิ เคมี เหล็ก เยื้อและกระดาษ อะลูมิเนียม หล่อโลหะ แก้วกระจก ปูนซีเมนต์ เซรามิก อาหารและเครื่องดื่ม โรงกลั่นน้ำมัน และปิโตรเลียมและปิโตรเคมี

ทั้งนี้ ระดับนโยบายควรต้องทบทวนมาตรการ/นโยบาย ที่จะช่วยให้ค่าไฟงวดเดือนม.ค. -เม.ย. 2567 เหมาะสมที่สุด เพราะจากที่ กกพ. มีมติตัวเลขค่าเฟทีออกมา โดยที่ไม่มีแผนปรับปรุงลดค่าไฟฟ้า และปรับโครงสร้างใด ๆ รองรับเลย ทั้ง ๆ ที่หลายภาคส่วนนำเสนอแนวทางมาโดยตลอด ซึ่ง สอท. มีมาตรการระยะสั้น กลาง และ ระยะยาว แบ่งเป็น

เอกชนหวังแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

ทั้งนี้ แม้อัตราค่าไฟฟ้าใหม่ที่กกพ.ประกาศออกมาจะเป็นไปตามหน้าที่ของกกพ. แต่เชื่อว่าทางฝ่ายนโยบายจะไม่เลือกแนวทางที่ประกาศออกมาอย่างแน่นอน โดยปรับลดต้นทุนต่างๆ ตามที่ก่อนหน้านี้ทางฝ่ายเอกชนได้นำเสนอไปบ้างแล้ว เช่น การจัดสรรก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยให้เหมาะสม ไม่ควรมีกลุ่มธุรกิจใดได้ประโยชน์มากกว่าประชาชน แนวทางการจ่ายหนี้กฟผ. ที่ต้องรอดูการตัดสินใจราคาสุดท้ายของฝ่ายนโยบายจะเคาะออกมาเท่าไร เบื้องต้นตนมองว่า ไม่ควรเกินกว่าราคาค่าไฟในงวดปัจจุบันอยู่ที่หน่วยละ 3.99 บาท

“ค่าไฟฟ้างวดเดือนม.ค-เม.ย. 2567 จะขึ้นราคาอย่างน้อย 17% ดังนั้น ตนจึงขอข้อเสนอปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าที่สอท. เสนอไปทั้งระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว ซึ่งควรจะได้รับการพิจารณาดำเนินการ และชี้แจงจากผู้รับผิดชอบถึงแนวทางหรือความคืบหน้าต่อประชาชน โดยเฉพาะความสามารถนำก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเอราวัณเป็นไปตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) หรือไม่ ฝ่ายนโยบายยังสามารถเลือกใช้คนเก่ง คนดี ทำงานเชิงรุก สร้างสรรค์ รวมทั้งสามารถสนองนโยบายที่ดี เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นที่ตั้งได้”

เปิดยอดหนี้กฟผ.แสนล้าน

รายงานข่าวแจ้งว่า ปัจจุบันกฟผ.มียอดหนี้สินแสดงทางบัญชีเมื่อปลายปี 2565 ที่ 1.1แสนล้านบาท กำหนดแบ่งจ่ายเป็น 7 งวด จะสิ้นสุด งวดสุดท้ายเม.ย.2568 ในส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นมาจากการกู้โดยให้เครดิตกฟผ.เอง 1.1แสนล้านล้าน เป็นการเปิดโอดีไลน์ (เบิกเมื่อไหร่ก็คิดดอกเบี้ยเมื่อนั้น) 3 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 1.4 แสนล้านบาท

โดยเงินกู้เป็นแบบระยะสั้นต้องชำระคืนตามแผนหากไม่เป็นไปตามนั้นก็จะเพิ่มภาระดอกเบี้ยให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลในระยะสั้นที่จะได้รับทันทีคือ ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากจะนำไปรวมเป็นค่าใช้จ่ายการผลิต ส่วนผลกระทบในระยะยาวก็คือ แผนการลงทุน เช่น การขยายสายส่ง การพัฒนาระบบการผลิต จะได้รับผลกระทบเพราะไม่มีเงินไปลงทุนและหากจะกู้ก็จะมีต้นทุนการกู้ที่สูงขึ้นตามสัดส่วนเครดิตที่ลดลงจากปัญหาหนี้ที่สะสมไว้

สำหรับองค์ประกอบค่าไฟฟ้าประเทศไทย ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ 1. ค่าไฟฟ้าฐาน เป็นค่าไฟฟ้าที่คิดมาจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและการให้บริการไฟฟ้า ซึ่งจะทบทวนทุก 3-5 ปี ซึ่งต้นทุนที่นำมาคิดค่าไฟฟ้าฐานมาจาก ค่าใช้จ่ายที่ใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้า ระบบส่ง และระบบจำหน่าย ค่าใช้จ่าย ในการด าเนินงาน และค่าเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้า รวมถึงค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ

2. ค่าไฟฟ้าผันแปร หรือค่าเอฟที (Ft) เป็นค่าไฟฟ้าส่วนที่ลอยตัว กำหนดใหม่ทุก 4 เดือน เพื่อให้ค่าไฟฟ้า สอดคล้องกับต้นทุนจริง เนื่องจากค่าใช้จ่ายมีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ค่าเชื้อเพลิง และค่าซื้อไฟฟ้า ที่อยู่ นอกเหนือจากการควบคุมของการไฟฟ้า และมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเพิ่มหรือลดจากต้นทุนค่าไฟฟ้าฐาน และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ

3. ค่าบริการรายเดือน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการให้บริการจำหน่ายไฟฟ้า เช่น การจดหน่วย การพิมพ์บิล จัดส่ง บิล และการรับชำระเงิน

4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ปัจจุบันอยู่ที่ 7% ของค่าไฟฟ้า

ภูมิธรรมจัดมหกรรมลดราคาสินค้า

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน โดยได้สั่งการ โดยกรมการค้าภายใน ได้มีการหารือกับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ห้างค้าส่งค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และแพลตฟอร์มออนไลน์ และได้ข้อสรุปที่จะจัดงาน “นิวเยียร์ เมกะเซลล์” ซึ่งเป็นการปรับลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ ในการช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับคนไทยทั้งประเทศ

กำหนดจัดที่เมืองทองธานี ในวันที่ 20-24 ธ.ค.2566 มีสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค ของใช้ประจำวัน เพื่อให้ชาวกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ได้มาซื้อสินค้า ส่วนในต่างจังหวัด จะเป็นการลดราคาในห้างทุกสาขาทั่วประเทศ กำหนดจัดช่วงวันที่ 15 ธ.ค.2566-15 ม.ค.2567

“ จะขอเชิญนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน นิวเยียร์ เมกะเซลล์ ครั้งนี้ด้วย ซึ่งจะมีสินค้าให้เลือกมากมายและลดราคาได้มากกว่าที่เคยทำมาขณะนี้กรมการค้าภายในอยู่ระหว่างการเพิ่มเติมจำนวนผู้ผลิตและผู้ประกอบการรวมถึงห้างร้านต่างๆที่จะเข้าร่วมโครงการ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ ซึ่งประเมินว่ามูลค่าที่จะประหยัดได้เกินกว่า 1,000 ล้านบาท”

 

ข่าวจาก : bangkokbiznews

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: