หญิงชาวอเมริกันฟ้องกูเกิ้ล ฐานประมาทเลินเล่อ หลังGPSไม่อัปเดต ทำสามีตกสะพาน-จมน้ำเสียชีวิต

Advertisement เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า จากกรณีเหตุสลดในสหรัฐเมื่อเดือน ก.ย. ปีที่แล้ว นายฟิลลิป แพ็กซ์สันวัย 47 ปี ชาวเมืองฮิกโครี รัฐนอร์ทแคโรไลนา ขับรถข้ามสะพานสโนวครีกตามแอปพลิเคชันนำทาง ‘กูเกิลแมปส์’ ซึ่งชำรุดมาเป็นเวลานานแต่ไม่ได้รับการซ่อม จนรถตกสะพานที่มีความสูง 6 เมตร เป็นเหตุให้นายแพ็กซ์สันจมน้ำเสียชีวิต ขณะเดินทางกลับบ้านจากงานฉลองวันเกิดปีที่ 9 ของลูกสาว Advertisement ล่าสุดตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า ครอบครัวของนายแพ็กซ์สันยื่นฟ้องต่อกูเกิลในข้อหาประมาทเลินเล่อ โดยทนายความของแพ็กซ์สันอ้างว่า มีประชาชนหลายคนพยายามรายงานเรื่องสะพานถึงบริษัทกูเกิลในปี 2563 เพื่อแจ้งเตือนเรื่องเส้นทางดังกล่าว แต่ทางกูเกิลกลับเพิกเฉยและไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ Advertisement ขณะที่ ทางด้านนายโฮเซ กาสตาเญดา โฆษกกูเกิล เผยกับสำนักข่าวต่างประเทศว่า ทางบริษัทมีความเห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวแพ็กซ์สัน ทั้งระบุว่า เป้าหมายของบริษัทคือ การจัดหาเส้นทางที่ถูกต้องและทางเรากำลังตรวจสอบอยู่ นอกจากนี้ ครอบครัวแพ็กซ์สันยังมีการยื่นฟ้องอีก 5 บริษัท โดยอ้างว่าเป็นผู้รับผิดชอบการซ่อมบำรุงถนนและสะพานบริเวณจุดเกิดเหตุ   ข่าวจาก : ข่าวสด

แชร์อุทาหรณ์ถูก “หมัดแมว” กัด มีอาการคล้ายไข้หวัด แต่ติดเชื้อรุนแรง ต้องตัดขา-มือ เพื่อรักษาชีวิต

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเรื่องราวของชายชาวสหรัฐคนหนึ่งที่รู้สึกไม่สบาย อาการคล้ายไข้หวัด หลังถูกหมัดกัด ก่อนช็อกจากการติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรง อวัยวะล้มเหลว ส่งผลให้แพทย์ต้องตัดมือและเท้าบางส่วนไปเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น ระบุว่า เมื่อประมาณเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ชายผู้โชคร้ายรายนี้ชื่อว่า นายไมเคิล โคห์ลฮอฟวัย 33 ปีอาศัยอยู่ในเมืองฮูสตัน รัฐเทกซัส สหรัฐ เขาได้เดินทางไปเยี่ยมคุณแม่ที่เมืองซานอันโตนิโอ ก่อนจะเริ่มรู้สึกไม่สบาย มีอาการคล้ายไข้หวัด มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ต่อมาได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล นายโคห์ลฮอฟ ถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที โดยเขาต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และอวัยวะของเขาเริ่มล้มเหลว แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคไทฟัส (ไข้รากสาดใหญ่) ชนิดรุนแรง โดยเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่แพร่กระจายมาจากหมัดในสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตาม แพทย์ที่รักษา เผยว่า ภายในไม่กี่ชั่วโมงนายโคห์ลฮอฟ ติดเชื้อในกระแสเลือด วันต่อมาต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู มีอาการช็อกจากการติดเชื้อ ต้องใส่ท่อและใช้เครื่องช่วยหายใจ CRT ต้องฟอกไตตลอด 24 ชั่วโมง ในวันเดียวกันนั้น แพทย์ได้แจ้งให้ครอบครัวเข้ามาร่ำลาเขา เพราะการรักษานั้นทำแทบทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าจะใช้ยาปฏิชีวนะ สเตียรอยด์ และยาขยายหลอดเลือด หลังผ่าน 11 วัน พบว่า […]

รู้เท่าไม่ถึงการณ์! ภารโรงปิดสัญญาณเตือนห้องแล็บ เหตุรำคาญ พังงานวิจัยมูลค่ากว่า35ล้าน

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเหตุอุกอาจในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐ เมื่อภารโรงคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยแต่เขากลับได้ยินเสียงเตือนจากดังมาจากในห้อง ทำให้เขาอารมณ์เสีย เขาจึงปิดไฟตู้แช่แข็งที่บรรจุเซลล์เพาะเลี้ยงจำนวนมากจนหยุดทำงาน เหตุนี้นักวิทยาศาสตร์เผยต้องใช้เงินอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 35 ล้านบาทเพื่อกู้คืนงานวิจัยทั้งหมด ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า ทางมหาวิทยาลัยวิจัยเอกชนในเมืองทรอยได้ยื่นฟ้องบริษัททำความสะอาด หลังจากพนักงานที่ทำสัญญาจ้างงานรายหนึ่งได้ทำลายงานวิจัยที่ทำมากว่า 20 ปีเสียหายทั้งหมด ซึ่งพนักงานรายนี้ได้รับสัญญาให้ทำความสะอาดที่อาคาร Cogwell ตั้งแต่เดือนส.ค.-พ.ย. 2563 ตามข้อร้องเรียน ระบุว่า ช่องแช่แข็งต้องรักษาอุณหภูมิอยู่ที่ -80°C และหากอุณหภูมิสูงเกินไป สัญญาณเตือนจะดังขึ้น แต่ก่อนเกิดเหตุ กลไกขัดข้อง จนทำให้สัญญาณเตือนดังขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดว่าจะได้รับการซ่อมแซมในอีกไม่กี่วัน แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดกลับเกิดขึ้นทำให้เกิดความเสียหายตามมาอย่างมาก อย่างไรก็ตาม มีป้ายเตือนติดไว้ที่ประตูตู้แช่แข็งเพื่ออธิบายสาเหตุที่เสียงเตือนยังคงดังอยู่ และวิธีปิดเสียง “ห้ามเคลื่อนย้ายหรือถอดปลั๊ก ถ้าคุณต้องการปิดเสียง สามารถกดสัญญาณเตือนค้างไว้ 5-10 วินาที” แต่ถึงมีป้ายเตือนไว้พนักงานคนดังกล่าวยังคงปิดไฟโดยตรง ทำให้อุณหภูมิของช่องแช่แข็งสูงขึ้นถึง -32°C แม้ว่าเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการจะพยายามเปิดสัญญาณเตือนในวันถัดมาก็ไม่สามารถรักษางานวิจัยได้ทัน ขณะที่ทางด้านพนักงานได้กล่าวว่า เขาได้ยินเสียงเตือนดังตลอดทั้งคืน มันทำให้เขารำคาญอย่างมาก โดยเขายังยอมรับว่า เขาได้ปิดเบรกเกอร์วงจรไฟสัญญาณเตือนในห้องแล็บจริง และในตอนท้ายของการให้การ เขายังคงดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด สิ่งที่เขาทำไปมันถูกต้องแล้วต่างหาก ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานบริษัท […]

สหรัฐใช้ “แอร์แทค” สอดแนม-แกะรอยทลายแก๊งค้ายาเสพติด

เว็บไซต์ ฟอร์บส์ รายงานว่า หน่วยงานปราบปรามยาเสพติด (ดีอีเอ) เผยว่า เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2565 ที่ผ่านมาตำรวจชายแดนของสหรัฐ ได้สกัดจับพัสดุต้องสงสัยที่ส่งมาจากเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ประกอบด้วยเครื่องอัดเม็ดและย้อมสีเม็ดยา คาดว่าน่าจะมีปลายทางเป็นโรงงานของแก๊งพ่อค้ายารายหนึ่งในรัฐแมสซาชูเซตส์ของสหรัฐ จึงได้แจ้งกับทางสำนักงานปราบปรามยาเสพติดทันที จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ซ่อนแอร์แทคไว้กับพัสดุต้องสงสัยดังกล่าว และปล่อยให้มันผ่านด่านตรวจไป จนกระทั่งมันเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทาง ทำให้ตำรวจรู้ตำแหน่งของโรงงานผลิตยาเสพติดได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะออกหมายค้น และบุกเข้าจับกุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในที่สุด นับเป็นครั้งแรกในวงการตำรวจที่มีการใช้แอร์แทค ในลักษณะนี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่เคยติดตั้งเครื่องระบุตำแหน่ง GPS เพื่อตามรอยในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่อุปกรณ์เหล่านี้มีขนาดใหญ่ทำให้เป็นที่สังเกตได้ง่าย แตกต่างจากแอร์แทคของบริษัทแอปเปิลที่มีขนาดเล็กกว่า และยังมีความสามารถในการเชื่อมต่อสัญญาณรวมถึงใช้งานได้ง่ายกว่าอีกด้วย   ข่าวจาก : ข่าวสด

ราวกับในหนัง! สองนักโทษในสหรัฐ ใช้แปรงสีฟันแงะกำแพงแหกคุก

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเกิดเหตุการณ์แหกคุกแบบเหนือเมฆในสหรัฐ จากการที่ 2 นักโทษชายชื่อ นายอาร์ลีย์ วี.นีโม วัย 43 ปี และนายจอห์น เอ็ม.การ์ซา วัย 37 ปีก่อเหตุหนีออกจากเรือนจำในระหว่างเจ้าหน้าที่นับจำนวนนักโทษ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น จนทำให้เจ้าหน้าที่เรือนจำนิวพอร์ต นิวส์ เจล เอนเน็กซ์ รัฐเวอร์จิเนีย ต้องประสานไปยังสำนักงานนายอำเภอนิวพอร์ต นิวส์ เพื่อออกประกาศตามจับกุมนักโทษชายสองคนดังกล่าว ตามรายงานระบุว่า นักโทษชายดังกล่าวใช้อุปกรณ์แบบทำเองจากชิ้นส่วนของแปรงสีฟันและโลหะบางอย่าง ค่อย ๆ กระเทาะกำแพง ขุดรูจนไปเจอบริเวณที่เป็นเหล็กเส้นเสริมความแข็งแรงในกำแพง จากนั้นพวกเขาก็ดึงเหล็กเส้นออกมาและใช้ขุดกำแพงจนกระทั่งเป็นช่องกว้างพอที่จะลอดออกไปด้านนอกได้ไกลราว 11 ก.ม. ภายหลังเจ้าหน้าที่สอบสวนนักโทษชายเบื้องต้นพบว่า บริเวณดังกล่าวเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดในเรือนจำแห่งนี้ หลังจากนั้นก็มีพลเมืองหลายคนแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า พวกเขาพบเห็นนักโทษแหกคุกทั้งสองคนที่ร้านแพนเค้กในเมืองแฮมป์ตัน ทางการได้ติดตามจับกุมสองนักโทษได้สำเร็จ หลังจากที่พวกเขาหนีออกไปได้เพียง 9 ชั่วโมง สำนักงานนายอำเภอ กล่าวขอบคุณพลเมืองดีที่แจ้งเบาะแส และเสริมว่าทางการกำลังตรวจสอบโครงสร้างอาคารและกำแพงในเรือนจำเพื่อความปลอดภัยต่อไป ส่วนการตั้งข้อหาในกรณีที่นักโทษที่หลบหนีออกจากคุกยังอยู่ระหว่างการพิจารณา   ข่าวจาก : ข่าวสด

สหรัฐเรียกคืนน้ำตาเทียมยี่ห้อดัง หลังพบสารปนเปื้อน ทำตาบอด-เสียชีวิต

ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เมื่อเดือน ก.พ. บริษัท โกลบอล ฟาร์มา เฮลธ์แคร์ (Global Pharma Healthcare) เรียกคืนยาหยอดตาหรือน้ำตาเทียมที่จัดจำหน่ายโดย เอซรีแคร์ (Ezri Care) และ เดลซัม ฟาร์มา (Delsam Pharma) ที่ผลิตโดยบริษัทของอินเดีย หลังพบการติดเชื้อแบคทีเรียที่ตา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย สูญเสียการมองเห็นอีก 8 ราย และอีก 4 รายต้องผ่าตัดเอาลูกตาออก ทางการต้องประกาศเตือนประชาชนหยุดใช้น้ำตาเทียม 2 ยี่ห้อนี้ทันที ทางการสหรัฐ ได้เร่งดำเนินการตรวจสอบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางด้านศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC พบประชาชนอย่างน้อย 68 คน ใน 16 รัฐติดเชื้อแบคทีเรียชนิดดื้อยาปฏิชีวนะ ชื่อว่า ซูโดโมแนส แอรูจีโนซา (Pseudomonas aeruginosa) จากน้ำตาเทียม ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เตือนผู้บริโภคและบุคลากรทางการแพทย์ไม่ให้ซื้อยาทาตาหลายชนิดที่ผลิตโดยผู้ผลิต […]

เตือนใส่คอนแทคเลนส์งีบหลับ ตาติดเชื้อรุนแรง จนบอดสนิทไปข้าง

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า หนุ่มคนนี้ชื่อว่า ไมเคิล ครุมโฮลซ์อายุ 21 ปีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริดาแชร์ประสบการณ์เตือนภัยจากการใส่คอนแทคเลนส์ว่า ก่อนหน้านี้เขาใส่คอนแทคเลนส์แบบรายวันเป็นเวลา 2-3 ปี แต่เมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาเขามักงีบหลับประมาณ 40 นาทีโดยใส่คอนแทคเลนส์ไว้ทุกวัน พอเขาตื่นขึ้นพบว่าตาข้างซ้ายของตัวเองแดงก่ำ การมองเห็นเริ่มไม่ชัด ตอนแรกเขาไม่ได้คิดว่ามันร้ายแรงเลยปล่อยไว้ หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนเขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติในดวงตา จึงไปพบแพทย์ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคเริมชนิดที่ 1 จากนั้นเขาได้ไปพบจักษุแพทย์อีก 5 คนแต่แพทย์ทุกคนแค่ให้ยาปฏิชีวนะและยาสเตียรอยด์เพื่อบรรเทาอาการแค่นั้นอาการผิดปกติในดวงตาข้างซ้ายของเขาเริ่มรุนแรงขึ้น จนในที่สุดแพทย์ได้วินิจฉัยพบว่า กระจกตาอักเสบจากเชื้อปรสิตที่เรียกว่า acanthamoeba keratitis (AK) เป็นเชื้อที่พบได้ยากและมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ แพทย์ ระบุว่า ชายคนนี้อาจกลับมามองเห็นได้เพียง 1%หลังจากปลูกถ่ายกระจกตา ซึ่งตอนนี้ตาข้างนึงของเขามองเห็นแค่แสงวาบสีดำๆ เทาๆเท่านั้น ทั้งนี้ ตามข้อมูลของแพทย์ที่รัฐซีดีซี ระบุว่า เชื้อปรสิตนี้เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อมักไม่เป็นอันตรายและพบได้บ่อยมาก โดยส่วนใหญ่พบได้ในทะเลสาบ ลำธาร มหาสมุทร น้ำที่ใช้กับคอนแทคเลนส์ อีกทั้งน้ำยาทำความสะอาดคอนแทคเลนส์บางยี่ห้อก็ไม่สามารถฆ่าเชื้อตัวนี้ได้ ความเจ็บป่วยจะเกิดขึ้นเมื่อจุลินทรีย์เข้าไปในดวงตาของคุณ ทั้งจากการใส่คอนแทคเลนส์ด้วยมือที่สกปรก หรือเมื่ออยู่ในห้องอาบน้ำหรือสระว่ายน้ำขณะสวมเลนส์ จากนั้นจะเชื้อเข้าสู่ดวงตาผ่านทางน้ำตาเล็ก ๆ บนพื้นผิวและทำให้เกิดการติดเชื้อ หากไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้ออาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรและตาบอดสนิทได้   ข่าวจาก : ข่าวสด

สุนัขอาภัพ ถูกปฏิเสธถึง14ครั้ง ในที่สุดก็ได้บ้านใจดีรับเลี้ยง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน “โรนัลด์” สุนัขตัวโตจ้ำม่ำวัย 1 ปีที่โดนปฏิเสธมากถึง 14 ครั้งในช่วงเวลา 5 สัปดาห์ แต่ในที่สุดก็มีคนเห็นความน่ารักของเจ้าโรนัลด์และพร้อมต้อนรับไปเลี้ยงเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวเสียที เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณต้นเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ศูนย์พักพิงสัตว์เอสพีซีเอในเขตเวคเคาน์ตี รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา โพสต์ประกาศหาคนรับเลี้ยงโรนัลด์ผ่านทางเฟสบุ๊ก โดยระบุข้อความว่า “ช่วยทำลายสถิติโชคร้ายของโรนัลด์ด้วย!” ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมียอดวิวเกือบ 1 ล้าน และมีคนกดไลค์นับหมื่นคน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีคนต้องการรับโรนัลด์ไปเลี้ยงหลายร้อยคน และลองพาโรนัลด์กลับไปอยู่บ้าน แต่โรนัลด์ถูกส่งกลับมากว่าสิบครั้งเนื่องจากขนาดร่างกายที่ใหญ่เกินกว่าลูกสุนัข แถมยังแข็งแรงและคึกมากๆ อย่างไรก็ตาม นางพยาบาลคนหนึ่งติดต่อขอรับโรนัลด์ไปเลี้ยง โดยให้เหตุผลว่าทันทีที่เจอเจ้าโรนัลด์ก็รู้สึกตกหลุมรัก ตนไม่ผิดหวังกับขนาดตัวของโรนัลด์เลย เพราะเจ้าโรนัลด์ทั้งน่ารักและขี้เล่นมาก จากนั้นนางพยาบาลรายนี้ก็ตัดสินใจรับโรนัลด์กลับบ้านในทันที นอกจากโรนัลด์แล้ว ในบ้านของคุณพยาบาลใจดียังมีสุนัขประจำครอบครัวอีกตัวชื่อ “บิลลี่” ซึ่งช่วยชีวิตไว้และนำมาเลี้ยงเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยเจ้าโรนัลด์เข้ากับบิลลี่ได้เป็นอย่างดี รวมถึงลูกชายอีก 2 คนของคุณพยาบาล ซึ่งกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นโรนัลด์ ส่วนตูบน้อยตัวโตก็กระโจนใส่อย่างตื้นตันที่ได้เจอสมาชิกครอบครัว   ข่าวจาก : ข่วาสด

ไมโครซอฟท์เตรียมปลดพนักงาน11,000คน ปมพิษเศรษฐกิจ

รอยเตอร์ รายงานว่า บริษัทไมโครซอฟท์ ผู้ผลิตและพัฒนาซอฟท์แวร์รายใหญ่ของโลก วางแผนที่จะเลิกจ้างพนักงานประมาณร้อยละ 5 หรือราว 11,000 ตำแหน่งของพนักงานทั้งหมด โดยเฉพาะแผนกทรัพยากรบุคคลและวิศวกรรม เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ตามรายงานระบุว่า ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานทั้งหมด 221,000 คนทั่วโลก สำหรับการปลดพนักงานส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI และอาจลดพนักงานแผนกทรัพยากรบุคคลลง หนึ่งในสามของแผนก ขณะเดียวกันรายได้ประจำปีไตรมาสล่าสุดมีการเติบโตอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2 ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2560 หลังธุรกิจด้านเทคโนโลยีเฟื่องฟูในช่วงที่เกิดโรคระบาดโควิด 19 เนื่องจากมีการทำงานทางไกล และการเรียนออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม บริษัทด้านเทคโนโลยีหลายร้อยแห่ง รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแอมะซอน และเมทา ได้ประกาศเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นกัน โดยเมื่อเดือนมกราคม 2566 บริษัทแอมะซอนประกาศปลดพนักงานกว่า 18,000 ตำแหน่ง และในเดือนพฤศจิกายน 2565 บริษัทเมทาลดพนักงานรวม 11,000 คน เนื่องจากพิษเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญทั่วโลก ขณะที่ตามข้อมูลของ Layoffs.fyi เว็บไซด์ที่ติดตามการเลิกจ้างพนักงาน ระบุว่า บริษัทเทคโนโลยีมากกว่า 1,000 แห่งเลิกจ้างพนักงานทั้งสิ้น 154,336 คนในปี 2565 เพียงปีเดียว  

ซีอีโอแอปเปิ้ล “ทิม คุก” ขอรับเงินเดือนลดลง40% ในปีนี้ หลังผู้ถือหุ้นฟีดแบ็กการทำงาน

บีบีซี รายงานว่า นายทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแอปเปิ้ล ขอลดเงินเดือนลงร้อยละ 40 ในปี 2566 ภายหลังผู้ถือหุ้นวิจารณ์การทำงานของเขา เนื่องจากปีที่ผ่านมามูลค่าหุ้นของบริษัทร่วงลงต่อเนื่อง จากปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก บริษัทแอปเปิ้ลยื่นเอกสารหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของสหรัฐฯ โดยในเอกสาร ระบุว่า นายทิม คุกขอลดเงินเดือนลงร้อยละ 40 ในปี 2566 ทำให้ผลตอบแทนรวมอยู่ที่ประมาณ 49 ล้านดอลลาร์หรือราว 1,600 ล้านบาท จากตัวเลขเงินเดือนในปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ 98 ล้านดอลลาร์หรือราว 3,250 ล้านบาท การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เงินเดือนพื้นฐานประจำปีของเขาไม่เปลี่ยนแปลงที่ 3 ล้านดอลลาร์หรือราว 99 ล้านบาทเช่นเดียวกับโบนัสสูงสุด 6 ล้านดอลลาร์หรือราว 198 ล้านบาท ขณะที่สิ่งที่แตกต่างมากที่สุดสำหรับการจ่ายเงินของเขา คือวิธีที่เขาจะได้รับหุ้นในบริษัท อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 บริษัทได้ให้หุ้นมูลค่า 75 ล้านดอลลาร์แก่นายคุก โดยครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทในตลาดหุ้น ขณะเดียวกันปีนี้เป้าหมายมูลค่าหุ้นของเขาลดลงเหลือเพียง 40 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสามในสี่ของเป้าหมายดังกล่าวขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของหุ้น นอกจากนี้ […]

1 2
error: