วิกรมเผย คนไทยตกงานเพราะ10จุดอ่อนนี้! จริงหรือไม่? ต้องอ่าน!

Advertisement   Advertisement เคยสงสัยหรือไม่? ทำไมคนไทยเก่งก็เยอะ แต่เหตุใดไม่พัฒนาไปไหนไกล? เคยสงสัยหรือไม่? ทำไมคนไทยหลายคนตกงานเพียบ ทั้งที่อัตราผู้เรียนจบวุฒิ ป.ตรี ก็เพียบ? วิกรม กรมดิษฐ์ วิเคราะห์จุดอ่อนคนไทย 10 ข้อไว้ด้วยกันดังนี้ 1. คนไทยรู้จักตัวตนของเราเองต่ำมาก กล่าว คือ รู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะมีสำนึกต่อสังคมส่วนรวมสูงมาก ของเราจะไม่คำนึงถึงส่วนรวม แต่จะเป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา จนทำให้เกิดวัฒนธรรมสืบทอดกันมายาวนาน โดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจทุกระดับชั้น จนมีคำพูดว่า ธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ทุกคนแสวงหาอำนาจเพื่อจะตักตวงเพราะความไม่รู้จักตัวตน ไม่รู้จักประเทศของตัวเองเช่นนี้แล้ว ทำให้ประเทศชาติของเราล้าหลังไปเรื่อย ๆ 2. การศึกษาของไทยยังไม่ทันสมัย สอนให้คนเห็นแก่ตัวมากกว่า ขาดจิตสำนึกต่อสังคม แม้แต่ภาษาคนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้เราขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่าง ๆ ประเทศอื่น ๆ รู้จักคนไทยน้อยมาก เพราะคนไทยไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตามหลังชาติอื่น เพราะคุณภาพการศึกษาของเราไม่ทันสมัย จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า 3. คนไทยมองอนาคตไม่เป็น เท่าที่สังเกตเห็นว่าคนไทยกว่า 70% ทำ งานแบบไร้อนาคต แบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ […]

น่าคิด! บางคนปฏิบัติธรรม เข้าวัดเป็นประจำ แต่เหตุใดยังชอบเอาเปรียบ-ว่าร้ายคนอื่น?

  สกู๊ปโดย : goodlifeupdate.com Dhamma Daily : ทำไมปฏิบัติธรรม แล้วยังเอารัดเอาเปรียบและพูดจาว่าร้ายคนอื่น ถาม : ผู้ปฏิบัติธรรม บางคนชอบเล่าบ่อยครั้งว่าตนนั่งสมาธิ ฟังธรรมเป็นประจำ แต่เพื่อนในกลุ่มรู้สึกตรงกันว่า เขามักเอาเปรียบและพูดจาว่าร้ายผู้อื่นเสมอ ยุยง ส่งเสริมให้เพื่อนในกลุ่มแตกแยกกัน อยากสอบถามว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นคะ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือคนที่ปฏิบัติฝักใฝ่ในธรรมโดยแท้จริง  ตอบ : การปฏิบัติธรรม นั้นเป็นหนทางการขัดเกลาจิตใจให้ลดความเห็นแก่ตัว ถอนความถือตัวและละความอหังการ (ยึดมั่นว่าตัวเรา) นี่คือสาระหลัก แต่คนที่อ้างตนว่าเป็นผู้ ปฏิบัติธรรม แต่มีพฤติธรรมตรงกันข้ามนั้น น่าจะยังมิใช่ผู้ปฏิบัติธรรมตามสมอ้าง ดังนั้นนักปฏิบัติธรรมที่แท้จริงต้องเป็นไปเพื่อการชำระความเย่อหยิ่งความถือตัว ความเห็นแก่ตัว อาจเรียกว่าเป็นผู้กำลังหันหลังให้กับอัตตาก็ว่าได้ และต้องปฏิบัติตนเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นสม่ำเสมอ หลักการของผู้ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาที่แท้จริงควรมีลักษณะที่โดดเด่นและแจ่มชัด กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องไม่ทำความชั่วโดยประการทั้งปวง หมั่นบำเพ็ญแต่ความดี บริหารจิตของตนให้ผ่องใสเนือง ๆ ไม่กล่าวโทษหรือทำร้ายผู้อื่น มีความสำรวมในข้อปฏิบัติอันชอบด้วยธรรมเสมอ มักจะเป็นผู้รู้จักประมาณในการใช้ชีวิต เลือกเฟ้นสังคมหรือชุมชนที่เหมาะสม และขยันฝึกฝนตนเองอยู่ตลอดเวลา นี่คือหลักการสำคัญของนักปฏิบัติในพระพุทธ-ศาสนา และเป็นหลักสากลที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงสั่งสอนไว้ ถ้าถือปฏิบัติผิดแผกแตกต่างไปจากหลักการเช่นนี้ก็แสดงว่า ผู้นั้นยังไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ฉะนั้น จากคำถามนี้อาจพิจารณาได้ด้วย 2 เหตุผล กล่าวคือ 1. ผู้นั้นอาจไม่ได้ปฏิบัติธรรมตามกระบวนการโดยแท้จริง เพียงแต่สละตนเข้าปฏิบัติธรรม เพื่อให้ตัวเองได้ถูกเรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติจริงและไม่สามารถเข้าถึงหลักการที่แท้จริงได้ เพราะรับเอาแต่เฉพาะรูปแบบการปฏิบัติตามคนอื่น แต่ตนเองไม่เข้าใจว่าตนได้ปฏิบัติธรรมจริงหรือเปล่า หรือกำลังได้อะไรจากการเข้าปฏิบัติธรรมนั้น นี่เรียกว่าหลอกทั้งตนเองและผู้อื่นด้วยประเภทนี้จะเสียประโยชน์ตนและเสียเวลาเปล่า 2. ผู้นั้นอาจเป็นผู้สละตนเข้าปฏิบัติธรรมจริง แต่ว่ามีอุปนิสัยดั้งเดิม เช่น ความโลภ แล้งน้ำใจ หรือมีนิสัยปากเปราะชอบว่าร้ายผู้อื่น ยังคงทำหน้าที่อยู่ก็เป็นไปได้เพราะอุปนิสัยนั้น บางทีไม่อาจสลัดออกไปได้โดยสิ้นเชิงทีเดียว เพราะมันเป็นกิเลสที่นอนเนื่อง เป็นสันดานติดตัวมาจากหลายภพชาติที่ผ่านมา เคยสั่งสมพฤติกรรมเก่าในอดีตชาติ ดังนั้น ผู้อ้างตนว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมท่านนี้แม้เข้าปฏิบัติธรรมก็จริง แต่ยังไม่สามารถละอุปนิสัยเดิมก็เป็นได้ แต่คำถามที่น่าสนใจคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ใดคือผู้ปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ควรมีหลักการสังเกตไว้ดังนี้ จิตใจต้องอ่อนโยน ละเอียด ละเมียดละไม เป็นผู้สงบ ผู้อยู่ใกล้ชิดจะสามารถสัมผัสความเยือกเย็นของเขาได้โดยการแสดงออกผ่านการกระทำ ผู้ปฏิบัติธรรมมักมีจิตเอื้อเฟื้อ เสียสละ เห็นใจคนอื่นง่าย ประกอบกับมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง ผู้ปฏิบัติธรรมมักมีปฏิภาณไหวพริบ เฉลียวฉลาดมีความรู้เรื่องศีลธรรม และตระหนักในคุณค่าของความดีเสมอ

เสียสละเวลาอ่านสักนาที…ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ เมื่อไม่ยุ่งเรื่องคนอื่น

ภาวนามาก ๆ ดูตัวเองมาก ๆ หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) บอกว่า “ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 %” คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น กลับเสียใหม่นะ ดูคนอื่นเหลือไว้ 10 % ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90 % จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่ ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง โบราณพูดว่า เรามักจะเห็น ความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มาก ๆ เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10 เห็นความผิดตัวเอง ให้คูณด้วย 10 จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมาก ๆ และตำหนิติเตียนตัวเองมาก ๆ แต่ถึงอย่างไร ๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น ดูตัวเอง […]

error: