ข้อมูลจากเว็บไซต์ธรรมะไทย ระบุว่า "โพชฌงค์" เป็นหลักธรรมหมวดหนึ่งที่อยู่ในบทสวดมนต์โพชฌังคปริตร ถือเป็นพุทธมนต์ที่ช่วยให้ผู้ได้สดับตรับฟังธรรมบทนี้แล้วสามารถหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้
[ads]
โดยเหตุที่เชื่อเช่นนั้นเนื่องเพราะมีเรื่องเล่าในพระไตรปิฎก ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหากัสสปะที่อาพาธ จากนั้นพระองค์ทรงแสดง "สัมโพชฌงค์" แก่พระมหากัสสปะ พบว่าพระมหากัสสปะสามารถหายจากโรคได้ อีกครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมบทนี้แก่พระโมคคัลลานะซึ่งอาพาธ หลังจากนั้น พบว่า พระโมคคัลลานะก็หายจากอาพาธ
ในที่สุด เมื่อพระพุทธองค์เองทรงอาพาธ จึงตรัสให้พระจุนทะเถระแสดงโพชฌงค์ถวาย ซึ่งพบว่าพระพุทธเจ้าก็หายประชวร
ในกาลต่อมา พุทธศาสนิกชนจึงมีความเชื่อว่า โพชฌงค์นั้น สวดแล้วช่วยให้หายโรค ซึ่งในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นธรรมเกี่ยวกับปัญญา เป็นธรรมชั้นสูง ซึ่งเป็นความจริงในเรื่องการทำใจให้สว่าง สะอาดผ่องใส ซึ่งสามารถช่วยรักษาใจ เพราะจิตใจมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับร่างกาย เนื่องจากกายกับใจเป็นสิ่งที่อาศัยกันและกัน
ผู้ที่ใฝ่ธรรมทั้งหลายคงจะทราบกันดีแล้วว่าโพชฌงค์ ๗ นั้นเป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ ดังบทสวดอาณาปานสติปาฐะ มีความตอนหนึ่งว่า
- สตฺต โพชฺฌงฺคา ภาวิตา พหุลีกตา,
- โพชฌงค์ทั้งเจ็ด อันบุคคลเจริญทำให้มากแล้ว.
- วิชฺชาวิมุตฺตึ ปริปูเรนฺติฯ,
- ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์.
นั่นคือถ้าเราเจริญโพชฌงค์ ๗ ให้ถึงที่สุดแล้วย่อมตรัสรู้ได้ องค์ธรรมนี้ยังมีอานิสงส์อีกประการหนึ่งซึ่งชาวพุทธรู้กันดีนั่นคือการทำให้ผู้ป่วยทุเลา และหายจากอาการป่วยไข้ได้ ถ้าได้สวดหรือฟังเสียงสวดมนต์โพชฌังคปริตร ดังครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระมหากัสสปะ และพระโมคคัลลานะ เกิดอาพาธ พระพุทธองค์ทรงทราบ จึงทรงแสดงธรรมโพชฌงค์ ๗ ให้สดับ พระเถระทั้งสองท่านก็หายจากอาการอาพาธนั้น และแม้แต่พระพุทธองค์เองครั้งหนึ่งทรงประชวรได้รับสั่งให้พระจุนทเถระสวดมนต์บทนี้ถวาย พระอาการก็ทุเลาและหายจากการประชวรในเวลาต่อมา
เรามาดูกันว่าโพชฌงค์ ๗ ทำให้หายป่วยได้อย่างไร
ก่อนอื่นก็ต้องรู้ว่าผู้ที่จะได้อานิสงส์นี้ จะต้อง
๑.เป็นผู้ที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา และที่สำคัญคือต้องรู้ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนอย่างดีมาก่อน หรือถ้าเคยปฏิบัติธรรมมาก่อนได้ยิ่งดี เพราะมิฉะนั้นแล้วก็จะไม่เข้าใจหัวข้อธรรมทั้ง๗ ที่ได้ยินหรือที่สวดอยู่
๒.ต้องเป็นผู้ป่วยที่มีสติสัมปชัญญะอยู่ ไม่ใช่อยู่ในขั้นวิกฤตจนไม่สามารถรับรู้อะไรได้แล้ว เช่นสมองตายแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการให้ออกซิเจนทางสาย เป็นต้น
ผู้ป่วยเมื่อได้สวดหรือได้ฟังเสียงสวดโพชฌังคปริตร แล้ว ต้องมีสติ ต้องระลึกรู้ว่าตัวเองกำลังป่วยไข้อยู่ ที่สุดของการป่วยคือทุเลาแล้วหาย หรือเสียชีวิต ซึ่งเป็นสัจจะธรรมที่ใครก็หนีไม่พ้น ดังบทสวด อภิณหะปัจจะเวกขะณะ ตอนหนึ่งที่ว่า
- พยาธิธัมโมมหิ พยาธิง อะนะตีโต
- เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
- มะระณะธัมโมมหิมะระณัง อะนะตีโต
- เรามีความตายเป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
เมื่อมีสติอยู่กับตัวแล้ว ต่อไปพิจารณาข้อธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยมาเจริญ เช่นบทอภิณหะปัจจะเวกขะณะ ดังกล่าวแล้วข้างต้น หรือจะใช้ข้อธรรมอื่นๆ เช่น ไตรลักษณ์ โดยพิจารณาให้เห็นว่าขันธ์ ๕ หรือรูปนาม หรือกายใจ นี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ บังคับให้เป็นไปตามใจปรารถนาไม่ได้คือไม่ใช่ตัวตนเราเขา แล้วเพียรที่จะพิจารณาเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเจ็บ จะปวดอย่างไรแค่ไหน เมื่อเพียรจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งถึงความไม่เที่ยงของสังขารร่างกายนี้แล้ว จะเกิดความอิ่มเอมใจ ปลาบปลื้มใจที่เข้าถึงความจริง ธรรมชาติของมนุษย์นั้นกายกับใจอาศัยและเกื้อกูลกันและกัน เมื่อใจดีใจสบายแล้ว กายจะดีจะสบายด้วย (ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆว่าใจกายสัมพันธ์กันก็คือ เมื่อเราโกรธมากๆใบหน้าจะซีดขาว ปากเขียว ตัวสั่น เป็นต้น) คนป่วยที่เข้าถึงข้อธรรมดังกล่าวมีใจอิ่มเอม กายก็จะสงบระงับผ่อนคลาย ที่เจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ จะหายได้ ถ้ามีอาการมากขึ้นมาหน่อยจะทุเลา ถ้ามีอาการหนัก จะละวางความทุกข์กายทุกข์ใจที่รุมเร้าได้ จิตจะตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวว่าอะไรจะเกิดกับตัวเอง พร้อมที่จะวางเฉยต่อความตายที่จะมาถึงในที่สุดพร้อมที่จะตายอย่างสงบ ไม่ทุรนทุรายด้วยจิตที่เศร้าหมองแม้ร่างกายจะทรมานสักเท่าใดก็ตาม เมื่อมารวมกับอานุภาพของพระรัตนตรัยย่อมเกิดเป็นพระพุทธมนต์อันยิ่งใหญ่รักษาโรคให้หายได้
สำหรับบทสวด โพชณังคปริตร มีดังนี้
ภาพ:www.kapook.com
[ads=center]
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ