จากสาวโรงงานเด็กดอยสู่การเป็นผู้พิพากษาหญิง เรื่องจริงที่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคน





งานราชการเป็นงานที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่ก็เป็นงานที่ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย โดยเฉพาะการเริ่มต้นสอบบรรจุ แค่ระดับพนักงานราชการทั่วไปตำแหน่ง/ยศ ไม่สูงมาก ยอดผู้สมัครที่ต้องแข่งขันกันก็สูงเป็นพันจนถึงหมื่น หลายคนจึงถอดใจเป็นธรรมดา แล้วปลอบใจตัวเองว่า "เราเก่งสู้คนอื่นไม่ได้หรอก" หรือคิดอย่างแย่สุดก็คือ "สอบไปก็เท่านั้น แพ้เด็กเส้นเปล่าๆ"

แต่สำหรับเธอคนนี้ น.ส.ลัดดาวรรณ หลวงอาจ เธอก็คือคนธรรมดาคนหนึ่งที่สามารถใช้ความพยายามของตนเองไต่เต้าสู่การเป็น ผู้พิพากษาศาลแพ่ง จนได้ เธอไม่มีเส้นสายใดๆ ใช้แค่ใจ สมอง ความอดทนพยายามล้วนๆ แม้เรื่องเล่าต่อไปนี้จะผ่านมาแล้ว 3 ปี Thaijobsgov ก็อยากให้หลายคนได้อ่านไว้เป็นแรงบันดาลใจ เธอทำได้ คุณก็ต้องทำได้สิ!

[ads] 

1374825433-1002542473-o

ชีวิตคือการเดินทางที่แสนไกล
บางครั้งเมื่อฉันมองย้อนกลับไปก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าฉันเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ชีวิตของฉันเริ่มต้นที่หมู่บ้านเล็กๆบนภูเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคอีสานตอนบนตั้งแต่เด็ก ทุกคนมองว่าฉันเป็นเด็กขี้อาย ไม่กล้าสู้หน้าคนแปลกหน้า ติดยาย เวลาไปไหนมาไหน ยายจะตามไปด้วยตลอดเวลา ในช่วงวัยเรียนประถมฉันชอบอ่านหนังสือมาก ในขณะที่เพื่อนๆ ไปวิ่งเล่นกัน ฉันก็จะอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนเล็กๆ ในชนบทห่างไกล ไม่ค่อยมีหนังสือให้อ่าน ดังนั้น ฉันจึงอ่านหนังสือในโรงเรียน ทุกเล่ม เล่มละหลายๆ รอบ

เมื่อฉันจบการศึกษาชั้น ป.6 พ่อแม่บอกว่าไม่มีเงินส่งฉันเรียนในชั้นมัธยมศึกษา ประกอบคนในหมู่บ้านของฉันก็ไม่มีใครเรียนต่อกัน ดังนั้น ฉันจึงต้องหยุดเรียนและออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา แต่ด้วยความที่ฉันถูกเลี้ยงมาแบบทะนุถนอม ยายไม่เคยปล่อยให้ฉันทำงานบ้านเอง ฉันจึงโตมาแบบทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ทำกับข้าวไม่เป็น ทำไร่ทำนาก็ไม่ไหว จนคนรอบข้างมองฉันแล้วส่ายหน้า พร้อมกับพูดว่า ถ้าฉันไม่มีพ่อแม่ ยาย แล้ว ชีวิตฉันจะอยู่ได้อย่างไร ตอนนั้นฉันอายุ 11 ขวบ ฉันมีความคิดว่า ฉันไม่ชอบการทำไร่ทำนา เพราะมันเหนื่อย ฉันอยากเรียนหนังสือสูงๆ ทำงานดี ส่งเงินให้พ่อแม่ ฉันจึงขวนขวายที่จะเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ฉันจึงขอพ่อไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน พ่อก็อนุญาต แต่แม่มีข้อแม้ว่า ฉันจะไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ประจำปี ไม่ได้สร้อยคอทองคำใส่ เหมือนกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน ฉันก็ตกลง

ต่อมาฉันจึงได้ไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ที่จังหวัดข้างเคียง อยู่ห่างจากหมู่บ้านของฉันประมาณ 30 กิโลเมตร ฉันต้องเดินจากหมู่บ้านประมาณ 3 กิโลเมตร เพื่อขึ้นรถเมล์ไปเรียนทุกวันอาทิตย์ ยายเป็นห่วงฉันมาก จึงเดินตามมาส่งฉันทุกอาทิตย์ และรอฉันอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านจนกระทั่งฉันกลับมาในตอนเย็น ภาพที่คนแถวนั้นเห็นจนชินตา คือ จะมียายหลานคู่หนึ่งเดินขึ้นเขาลงเขา ทุกวันอาทิตย์ ตอนเช้า และตอนเย็น

ฉันใช้เวลา 2 ปี จึงเรียนได้วุฒิเทียบเท่าชั้น ม.3 ขณะนั้น ฉันอายุ 15 ปีพอดี ฉันจึงขอพ่อแม่ เข้ากรุงเทพเพื่อหางานทำและหาที่เรียนต่อ พ่ออนุญาต และแม่มีข้อแม้ว่า ฉันต้องส่งเงินให้แม่ทุกเดือน เพราะถ้าฉันไปก็ไม่ใครช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา หลังจากนั้น ฉันและเพื่อนในหมู่บ้านอีกหลายคนก็ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานปลาทูน่ากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ฉันและเพื่อนทำงานวันแรกก็คลื่นไส้ เป็นลม เพราะเหม็นปลาทูน่า มีหลายคนที่ทำงานไม่ไหว และลาออกในวันรุ่งขึ้น ส่วนฉันคิดว่าฉันทนได้ เพราะเป้าหมายของฉันคือการได้เรียนต่อ ฉันคิดว่าที่นี่เหมาะกับฉันเพราะ ฉันทำงานเข้ากะกลางคืน ในเวลากลางวันฉันก็จะสามารถไปเรียนต่อได้ตามความฝัน และฉันเห็นพนักงานที่โรงงานนี้ก็เรียนต่อที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกันหลายคน

ฉันประทับใจกับคำพูดของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล ที่บอกว่า “อย่าคิดว่างานที่ทำเป็นงานที่ต่ำต้อย งานทุกอย่างมีคุณค่าในตัวเอง” ซึ่งฉันก็เห็นด้วยและคิดว่าฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการทำงานนี้ เป็นต้นว่า การฝึกความอดทน ไม่ย่อท้อต่อการทำงานหนัก ซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้จิตใจเข้มแข็ง สามารถฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ฉันทำงานอยู่ได้ 1 เดือน ทางโรงงานประสบปัญหาขาดทุนและเลิกจ้างพนักงานใหม่ ฉันจึงต้องออกจากงานและย้ายไปทำงานโรงงานทอผ้า อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทำงานอยู่ได้หกเดือน ฉันก็ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะได้เรียนต่อ ฉันจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้าน อยู่บ้านได้สักพัก ฉันก็ชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไปหางานที่อำเภอ เราสัญญากันว่า จะไปหางานทำด้วยกันและหาที่เรียนด้วยกัน

จากนั้น ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานผลไม้กระป๋อง ทำงานได้สักระยะ เพื่อนของฉันบอกว่า เค้าทนลำบากไม่ไหวแล้ว อยากจะกลับบ้าน ตัวฉันยังไม่อยากกลับบ้าน แต่ไม่มีเพื่อนอยู่ด้วย ฉันก็กลัว จึงต้องตามเพื่อนกลับบ้าน พอกลับไปอยู่บ้านสักพัก ฉันก็หาเพื่อนคนใหม่ เพื่อไปหางานทำด้วยกันอีกครั้ง ฉันและเพื่อนอีกสี่คน ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ และถูกส่งกลับไปทำงานที่โรงงานปลากระป๋องในจังหวัดนครปฐม ที่เดียวกับที่ฉันเคยไปครั้งแรก ขณะนั้นกิจการดีขึ้นแล้ว ฉันรู้สึกดีใจมากและคิดว่าคราวนี้คงได้เรียนต่อสมใจซะที

หลังจากทำงานได้สักระยะ ฉันก็สมัครเรียนการศึกษานอกโรงเรียนใกล้ๆ กับที่ทำงาน แต่แล้วฉันก็ประสบปัญหาเดิมๆ นั่นคือ เพื่อนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน เค้าอยากจะกลับบ้านอีกแล้ว ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่ตามเพื่อนกลับบ้าน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า โดยไม่มีคนจากหมู่บ้านเดียวกันอยู่ด้วย และแล้วฉันก็ผ่านมันไปได้ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ สิ่งที่ฉันยังจำได้ติดใจ คือ มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเดินเข้าไปขออนุญาตหัวหน้างาน ขอเลิกงาน 5 โมงเย็นโดยไม่ทำโอทีต่อถึง 2 ทุ่ม เพราะวันรุ่งขึ้นฉันต้องไปสอบ คำตอบที่ฉันได้รับคือ หน้าตาบึ้งตึงของหัวหน้างานพร้อมกับคำพูดเสียงแข็งว่า "ไม่ได้ ! งานก็คืองาน!"  วันนั้นฉันจึงต้องทำงานถึงสองทุ่ม และไปสอบในตอนเช้า โดยมีเวลาอ่านหนังสือเพียงน้อยนิด แต่ในที่สุดฉันก็ได้วุฒิ ม.6 มาครอบครอง ซึ่งในเวลานั้น ฉันไม่รู้ว่าจะเอาวุฒิ ม.6 ไปทำงานอะไร หรือเรียนอะไร มีแต่คนรอบข้างที่บอกฉันว่า "ขนาดคนที่เรียนในระบบโรงเรียน ยังตกงาน ยังไม่สามารถเรียนให้จบมหาวิทยาลัยได้เลย แล้วเด็กบ้านนอกจบ กศน. อย่างฉัน จะไปทำอะไรได้" 

ตอนนั้น ฉันเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ จึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้านอีกครั้งพอกลับไปบ้านสักพัก ความอยากเรียนต่อของฉันก็เร่งรัดให้ฉันเข้ามากรุงเทพอีกครั้งเพื่อหางานทำและหาที่เรียน คราวนี้ฉันมาทำงานก่อสร้าง พร้อมกับคนในหมู่บ้าน โดยมีแม่ตามมาทำงานด้วย ฉันทำงานก่อสร้างอยู่ได้ 7 วัน ก็เหน็ดเหนื่อยมากๆ จึงออกไปสมัครงานโรงงานอีกครั้ง และได้ทำงานโรงงานทำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ เมื่อได้งานแล้วฉันก็ส่งแม่กลับบ้านนอก ฉันชอบที่นี่มาก งานสบาย สวัสดิการดีกว่าโรงงานที่ฉันเคยทำเยอะ ฉันตั้งใจว่าจะสมัครเรียนรามคณะรัฐศาสตร์ เพราะมีคนบอกว่าจบ กศน. อย่างฉัน เรียนได้แค่รัฐศาสตร์รามเท่านั้น ฉันทำงานที่นี่ได้ 4 เดือน และกำลังจะสมัครเรียนราม แต่อนิจจาโรงงานที่ฉันทำงานอยู่ มีนโยบายไม่รับพนักงานประจำ คือจะจ้างพนักงานแค่ 4 เดือนแล้วเลิกจ้าง จากนั้นก็รับสมัครพนักงานใหม่ ฉันจึงถูกเลิกจ้างด้วยประการฉะนี้ เมื่อตกงาน ฉันจึงต้องพักเรื่องการสมัครเรียนต่อไว้ก่อนต่อมาฉันได้งานใหม่ ที่โรงงานทำเครื่องแฟกซ์แถวๆ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ที่นี่เงินเดือนไม่ได้เท่าที่เดิม แต่ก็วันหยุดเยอะดี ต่อมาฉันก็วางแผนจะสมัครเรียนรามอีกครั้ง ตอนนั้นฉันคิดว่าฉันคงเรียนสาขารัฐศาสตร์ไม่ได้ เพราะวิชาพื้นฐานเยอะมาก และฉันไม่ได้เรียนมัธยมในระบบโรงเรียน คงตามเพื่อนไม่ทัน ส่วนคณะนิติศาสตร์ วิชาพื้นฐานน้อยดี วิชาหลักก็ไม่มีสอนในชั้นมัธยม มาเริ่มต้นพร้อมกัน ฉันคงพอเรียนได้

ปีแรก ฉันก็ลงทะเบียนเรียน ตามวันเวลาว่าง เพื่อจะได้ลางานให้น้อยที่สุด บางครั้งฉันลงทะเบียนเรียนสองวิชาที่สอบวันเดียวกัน ผลคือ ตอนเช้าสอบรามหนึ่ง ตอนบ่ายสอบรามสอง ตอนดึกก็ไปทำงาน ผลสอบในปีหนึ่งเป็นที่น่าพอใจ ฉันสอบผ่านเป็นส่วนใหญ่ พอเริ่มปี 2 วิชาเรียนเริ่มยากขึ้น ฉันคิดการการทำงานโรงงานหนักเกินไป และไม่เหมาะแก่การเรียน ฉันตัดสินใจลาออกจากงานโรงงาน มาทำงานร้านเซเว่นใกล้กับมหาวิทยาลัย ช่วงไหนที่เข้ากะดึกและกะบ่าย ฉันก็จะหาโอกาสไปนั่งฟังคำบรรยาย ขณะนั้นฉันยังไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ฉันจึงตัดสินใจเข้าไปฝึกอบรมการพูดที่ศูนย์พัฒนาการพูดรามคำแหง ที่นี่ฉันมีเพื่อนมากมายและไม่อยากจะทำงานอีกต่อไป ประกอบกับช่วงนั้นมีโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ฉันจึงตัดสินใจ ลาออกจากงานและกู้เงินเรียน

ฉันใช้เวลาสามปีก็จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี
จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่เนติฯ อีกหนึ่งปี ก็จบเนติฯ ช่วงที่เรียนรามและเรียนเนติฯ ฉันไม่มีเงินซื้อหนังสือข้างนอกมาอ่าน ฉันจึงใช้วิธียืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่าน เมื่อยืมมาแล้วก็ต้องอ่านให้จบ ทำโน้ตย่อไว้เพื่อทบทวนเพราะไม่ใช่หนังสือของเรา ตลอดเวลาสามปีที่รามและหนึ่งปีที่เนติ ฉันอ่านหนังสือในห้องสมุดแทบทุกเล่ม ตอนนั้นฉันสงสารตัวเองมากที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือมาอ่าน แต่พอมองย้อนกลับไป พบว่านั่นคือข้อดีอย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันมีความตั้งใจ อ่านหนังสือให้ได้เยอะๆ เร็วๆ ฉับพบว่า หลังจากที่ฉันมีเงินซื้อหนังสือแล้ว ความขยันอ่านหนังสือหายไปเพราะคิดว่า หนังสือเป็นของเราจะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ สุดท้ายฉันมีหนังสือเต็มห้องแต่ยังอ่านไม่ครบทุกเล่ม ในช่วง 2 ปีที่ราม และ 1 ปีที่เนติฯ เป็นครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสได้ฟังคำบรรยายที่มีอาจารย์สอนแทนการอ่านหนังสือ ในขณะที่คนอื่นคิดว่าการนั่งเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่อ อ่านหนังสืออย่างเดียวดีกว่าเร็วดี แต่สำหรับฉันแล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องโชคดีมากที่มีโอกาสได้รับทั้งความรู้และประสบการณ์โดยตรงจากผู้สอน บางครั้งอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดเฉพาะความรู้เท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆ ที่ท่านเคยประสบการณ์ มาให้เราด้วย ดังนั้น ฉันจึงตั้งใจเรียน เกี่ยวทั้งความรู้และประสบการณ์ที่มีคุณค่าของท่าอาจารย์ มาปรับใช้ในการเรียนและการดำเนินชีวิตประจำวันหลังจากจบปริญญาตรีฉันเคว้งคว้างอยู้สักพัก หางานทำไม่ได้ ฉันไม่ค่อยชินกับการเรียนอย่างเดียวโดยไม่ได้ทำงาน 

ฉันสัญญากับตัวเองว่าถ้าหางานทำได้แล้วฉันจะตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุด ต่อมาฉันสอบเข้าบรรจุเป็นข้าราชการที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ปีแรกที่ทำงานที่นี่ฉันมีความสุขมากๆ ฉันประทับใจกับการอบรมพนักงานใหม่ซึ่งให้ข้อคิดกับฉันว่า อะไรก็ตามถ้าเราทำถูกวิธีมันจะไม่เหนื่อย และประสบความสำเร็จได้ง่าย ถ้าเราทำอะไรแล้วเหนื่อยและไม่ได้ผล แสดงว่าเราทำผิดวิธีเราต้องหาวิธีการใหม่ ฉันก็ได้ใช้หลักการข้อนี้ มาปรับใช้กับการเตรียมตัวสอบผู้พิพากษา เพื่อนๆ ที่บรรจุพร้อมกันบอกว่างานที่นี่เหนื่อย หนัก เครียด แต่ในความรู้สึกของฉันคือ สบายกว่างานโรงงานที่ฉันทำตั้งเยอะในการเตรียมตัวสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา บางครั้งเมื่อฉันเห็นคนที่อ่านหนังสือสอบอย่างเดียวฉันก็นึกอิจฉาอยากเป็นแบบนั้นบ้างแต่ทำไม่ได้เพราะมีภาระครอบครัวมากมาย

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันลาพักผ่อนและไปนั่งอ่านหนังสือสามวันเต็ม ทั้งวันโดยไม่พัก ฉันอ่านจูริสจบไปสองสามเล่ม และฉันรู้สึกว่าความรู้เต็มหัวจนหนักอึ้งเพราะสมองซึมซับไม่ทัน ฉันเห็นหนังสือแล้วรู้สึกเวียนหัว อ่านหนังสือไม่ได้ไปอีกสองอาทิตย์ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า การศึกษาหาความรู้ไม่ใช่การนำข้อมูลจำนวนมหาศาลมายัดใส่สมองภายในครั้งเดียว ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่เป็นการค่อยซึมซับความรู้ทีละน้อยและฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ จุดสำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่อง ถ้าเราอ่านหนังสือแค่วันละสองชั่วโมงแต่สามารถจนจำและนำไปปรับใช้ได้ มันจะเป็นความเข้าใจที่นานเท่าไหร่ก็จะไม่ลืม ถ้าเราทำได้ต่อเนื่องทุกวัน ความรู้ที่มีจะค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องเหนี่อยฟรี นับแต่นั้นฉันจึงคิด เป็นความโชคดีของฉันที่ได้ ทำงานและเรียนด้วยมาโดยตลอด มันทำให้ฉันมีทั้งความรู้และประสบการณ์ที่นำมาใช้ด้วยกันได้อย่างลงตัว 

แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันพลาดไปก็คือ ฉันประมาทไปหน่อย ตอนที่ยังอายุไม่ครบที่จะสอบผู้พิพากษา ฉันก็ไม่ค่อยได้เตรียมตัว มัวแต่สนุกกับงาน สนุกเพื่อนใหม่ สถานที่แปลกใหม่ และคิดว่าอายุไม่ครบก็ยังไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย พอฉันมีคุณสมบัติครบที่จะสอบผู้พิพากษาได้ และเริ่มเตรียมตัวอย่างจริงจังก็รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา คิดว่าเราน่าจะเตรียมตัวก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว และนั่นทำให้ฉันสอบผู้พิพากษาครั้งแรกไม่ผ่าน แต่ก็ยังดีที่ฉันยังสามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเองได้เร็ว และสามารถแก้ไขได้ จนทำให้สอบผ่านได้อย่างเฉียดฉิวในการสอบครั้งที่สอง

นับจากวันที่ฉันสอบผ่านได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา จนถึงวันนี้เป็นเวลา 8 ปีเศษ หลายครั้งที่มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่า แทบไม่น่าเชื่อว่าเด็กบนดอยคนหนึ่งจะมายืนจุดนี้ได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันมีวันนี้ได้ คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ยาย น้องสาว แม้พวกเค้าจะไม่เข้าใจว่าฉันจะเรียนไปทำไมเยอะแยะมากมาย รู้แต่ว่าฉันอยากเรียนก็สนับสนุนทุกทางเท่าที่จะทำได้

ในขณะที่คนในหมู่บ้านมีแนวคิดว่าการเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์เสียเวลาทำมาหากิน และมีตัวอย่างของคนในหมู่บ้านที่ไปเรียนจบมาแล้วก็แต่งงานเลี้ยงลูกโดยไม่ได้ประกอบอาชีพตามที่เรียนมาเลย ดังนั้น พวกเค้าจึงไม่คิดที่จะส่งลูกหลานเรียนต่อ ตอนนั้นฉันชวนเพื่อนไปเรียนต่อด้วยกัน แต่พ่อแม่ของเพื่อนไม่อนุญาต และซื้อเครื่องเสียงให้เป็นการปลอบใจโดยให้เหตุผลว่า เครื่องเสียงฟังได้ทั้งครอบครัว แต่การเรียนต่อ คนในครอบครัวไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วย

ส่วนพ่อของฉันอยากให้ฉันเรียนอยู่แล้วแต่ไม่มีเงินส่งเรียน เมื่อฉันขอไปเรียน กศน. พ่อก็อนุญาต ส่วนแม่และยายแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่เคยห้าม มีแต่ช่วยสนับสนุนทุกทาง ยายมารับส่งทุกครั้งที่ไปเรียน ตอนที่ฉันเข้ามาทำงานกรุงเทพ แม่และยายก็ยอมแม้ว่าจะคิดถึงและเป็นห่วงฉันมากแค่ไหน คนข้างบ้านบอกว่าแม่ฉันจิตใจเข้มแข็งมากๆ ที่ยอมให้ลูก อายุไม่ถึงยี่สิบปีมาอยู่กรุงเทพเพียงลำพัง ฉันคิดว่าที่แม่ยอมเพราะแม่เชื่อว่าฉันดูแลตัวเองได้ดี และฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง ส่วนน้องสาวคนเดียวของฉัน ฉันรักเค้ามาก และเค้าก็รักฉันมากเช่นเดียวกัน ในขณะทำงานฉันส่งเงินกลับบ้านเพื่อให้น้องสาวได้เรียนต่อ ซึ่งเค้าก็ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง เค้าเรียนดี ตั้งใจเรียน มาโดยตลอด โดยที่ฉันไม่ต้องแนะนำสั่งสอน น้องเดินมาในทางเดียวกันกับที่ฉันเดิน ฉันดีใจที่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องได้ บางทีฉันก็รู้สึกว่าน้องสาวของฉันอาจจะรู้สึกกดดัน ที่ใครก็ชื่นชมฉันและคาดหวังว่าน้องจะทำได้เหมือนฉัน ฉันอยากจะบอกน้องสาวว่าถึงแม้วันนี้น้องจะทำไม่ได้เท่าพี่ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ต่างกัน ฉันก็รักและภูมิใจในตัวเค้ามากและดีใจที่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องกัน อะไรที่พี่จะช่วยให้น้องประสบความสำเร็จได้พี่ก็พร้อมจะทำ อย่างเช่นการเปิดเพจธรรมมะกับกฎหมาย เพื่อแนะนำการเรียนกฎหมาย พี่เขียนเพจนี้ขึ้นมาก็เพราะคิดว่าเพจนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องของพี่และคนอื่นๆ

เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าฉันมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่วันนี้ฉันรู้แล้วว่าครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์ที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเลย เงินทุกบาทที่หามาได้ พ่อจะให้แม่เก็บทั้งหมด หากพ่อเอาเงินไปใช้ พ่อจะกลับมาบอกแม่ว่าใช้อะไรไปบ้าง ที่เหลือจะคืนแม่ทั้งหมด พ่อไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใส่เอง แม่ซื้อเสื้อผ้าแบบไหนให้ก็ใส่แบบนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัว ยายเลี้ยงดูฉันอย่างดี ตอนเด็กฉันไม่เคยถูกตีเพราะมียายคอยปกป้องอยู่เสมอ ญาติพี่น้องทุกคนรักกันและคอยช่วยเหลือกันอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความรักในหัวใจ ที่พร้อมจะเดินตามความฝันของตัวเอง และแบ่งปันความรักให้แก่คนรอบข้าง ทำให้ฉันเรียนรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะให้แก่คนที่เรารักได้คือ การให้เค้าได้เป็นตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่รักและอยากมีความสุขที่จะทำ และนี่คือสิ่งที่ฉันได้จากครอบครัวของฉัน สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ฉันเดินมาถึงตรงนี้ได้ นั้น คือ ฉันมีเป้าหมายชัดเจน และหาวิธีการเดินไปสู่จุดหมายนั้น ฉันไม่เคยยอมแพ้ ทุกครั้งที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดังหวัง ฉันก็จะบอกกับตัวเองว่า มันต้องมีวิธีการอื่นที่ให้เราเดินไปสู่ความสำเร็จได้ ทุกเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าดีหรือร้ายก็สามารถเป็นครูสอนเราได้ สิ่งที่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ควรทำตาม สิ่งที่ไม่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำตาม 

คนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเติบโตขึ้น คนเราไม่รู้หรอกว่า ทำกรรมอะไรไว้จึงได้ตัวตนแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ถึงวันนี้ วันที่เรายังมีลมหายใจอยู่กับปัจจุบันขณะ เราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินไปตามเส้นทางที่กรรมเก่าขีดเส้นไว้ หรือเลือกที่จะสำรวจข้อบกพร่องตัวเอง เลือกแก้ไขนิสัยเสียๆ ของตัวเอง และเลือกแก้ไขในส่ิงที่ผิด เลือกหาวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง หาตัวเองให้เจอ แทนการเลือกโทษโชคชะตาฟ้าดิน พ่อแม่ คนรอบข้าง

ที่มา: โดย Tanawat Tar
เรื่อง จากสาวโรงงานสู่อาชีพผู้พิพากษา
นางสาวลัดดาวรรณ หลวงอาจ ผู้พิพากษาศาลแพ่ง เป็นวิทยากร
ดำเนินรายการโดย นางสาวศณิฏา จารุภุมมิก นักประชาสัมพันธ์ชำนาญการ

ขอบคุณกระทู้ต้นเรื่องจาก : ล็อกอิน My Sea Lion เว็บไซต์ http://pantip.com/topic/30765657
เรียบเรียงใหม่โดย : Thaijobsgov

[ads=center]

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: