สังคมไทยเปลี่ยนไปทุกวัน คนดีกับคนเลวบางครั้งอาจจะแยกแทบไม่ออกจากการมองในครั้งแรกๆ เพราะหลายคนเริ่มที่จะใส่หน้ากากเข้าหากัน จึงทำให้ยากที่จะเดาได้ว่าบุคคลผู้นั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่?
และยิ่งในสมัยนี้ การทำเพื่อตัวเอง การเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นโรคใหม่ที่มีชื่อว่า “โรคมารยาททางสังคมบกพร่อง” ที่กำลังระบาดหนักในสังคมไทย โดยเฉพาะในหมู่กลุ่มประชากรวัยรุ่นและวัยทำงานในเขตเมืองใหญ่...มาเช็คกันหน่อยว่าใกล้ตัวคุณหรือคนรอบข้างของคุณ มีคนนอสัยแบบนี้หรือไม่? จะรับมือและถอยห่างอย่างไรให้เหมาะสม? ตามมาดูกันเลย
โรคนี้เป็นโรคที่พบมากในต่างประเทศ ตามเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันสูง เช่น นิวยอร์ก ซานฟรานฯ โตเกียว และปารีส แต่ปัจจุบันประเทศไทยก็เป็นกับเขาไปด้วย อาการของโรคมีดังนี้
อาการของโรค
1. ขั้นแรก
– นิ่งเฉย ไม่ตอบสนองต่อการมีปฏิสัมพันธ์จากคนรอบข้าง
– ระบบประสาทของผู้ป่วยจะมีความไวเป็นพิเศษหากเจอสิ่งเร้าในทางลบ หรือสิ่งกระตุ้นที่ตนเองไม่พอใจ โดยจะแสดงอาการ ‘เหวี่ยง’ ออกมาทันที
2. ขั้นกลาง
– ผู้ป่วยไม่สามารถแสดงออกถึงมารยาทพื้นฐานทางสังคมได้ เช่น การขอบคุณ การขอโทษ การรับการทักทาย การยิ้ม การตอบคำถามทั่วไปในชีวิตประจำวัน หรือการให้ความร่วมมือกับงานของส่วนรวมได้
– ผู้ป่วยไม่สามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจ หรือแสดงความมีน้ำใจต่อผู้อื่นได้ หากปราศจากผลประโยชน์ตอบแทน
– มีความสามารถสูงในการแสดงออกอย่างก้าวร้าว เช่น การด่าทอ การนินทาว่าร้าย การเรียกร้องความสนใจ และการแย่งซีนชาวบ้านมากขึ้นสูงถึง 2.76394 เท่าของคนปกติ
3. ขั้นสุดท้าย
– ผู้ป่วยแสดงการต่อต้านสังคมอย่างเห็นได้ชัด ขาดเหตุและผล มีแต่ความเห็นแก่ตัวล้วนๆ
– หน้าตาที่บูดบึ้งตลอดเวลา บางรายมีท่าเดินที่ผิดปกติ เนื่องจากบุคลิกภาพที่เสื่อมไป ไม่แคร์ภาพลักษณ์ของตนเอง
– ผู้ป่วยจะมีแรงกระตุ้นอย่างรุนแรงที่จะต่อต้านกติกามารยาทของสังคม หรือต้องการแสดงวาจาก้าวร้าวต่อผู้อื่นโดยไม่มีสาเหตุอันควร
– ผู้ป่วยจะแสดงความดูถูก เหยียดหยาม พูดจาตอกหน้าต่อผู้อื่นด้วยความตั้งใจ โดยเฉพาะกับคนที่ทำดีต่อผู้ป่วย ซึ่งพบว่าผู้ป่วยบางรายมักเกิดความพึงพอใจเมื่อได้ค่อนขอดคนที่ทำดีในสังคมว่า สร้างภาพบ้าง โลกสวยบ้าง เป็นต้น
[ads]
บุคคลที่เข้าข่าย
1. กลุ่มคนที่มีอาการคิดว่าตัวเองสำคัญที่สุดในโลก เป็นศูนย์กลางจักรวาล ไม่จำเป็นต้องเคารพกติกามารยาทหรือกาละเทศะใดๆ ในสังคม เพราะเป็นหน้าที่ของคนรอบข้างที่ต้องคอยมาเอาอกเอาใจตัวเองเพียงฝ่ายเดียว
2. กลุ่มคนที่มีปมด้อย เคยตกต่ำจนดูถูกตัวเองอย่างสุดขีด และเกิดเป็นแรงผลักดันที่จะผลักไสความรู้สึกแย่ๆของตนไปให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ทรมานบ้าง
ความร้ายแรงของโรค
แน่นอนว่าคนแบบนี้คงไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย เป็นบุคคลที่สังคมรังเกียจ และอาจจากโลกนี้ไปเงียบๆโดยที่ไม่มีใครรู้หรือถามหาเลยก็ได้
การรักษา
ยังพอมีเวลาถ้าอยากจะรักษาโรคนี้ให้หายขาด แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วยอย่างยิ่งยวด ดังนี้
ผู้ป่วยระยะเริ่มต้นและปานกลาง
สามารถแก้ไขอาการของโรคให้ทุเลาลงได้ด้วยการ
1) ยิ้ม
2) หัดพูดคำว่า ขอบคุณครับ/ค่ะ ขอโทษครับ/ค่ะ และ ไม่เป็นไรครับ/ค่ะ อย่างจริงใจ และทำให้ติดเป็นนิสัย
3) นึกถึงใจเขาใจเราให้มากขึ้น
4) นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนา
ผู้ป่วยที่มีอาการร้ายแรง
1) งดหรือลดการใช้โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คลงสักช่วงหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้นิสัยชิงดีชิงเด่น เรียกร้องความสนใจ
2) หากในครึ่งปีอาการไม่ดีขึ้น ผู้ป่วยควรไปพบจิตแพทย์
บุญแค่ไหนแล้วที่แอดมินฯไม่ค่อยได้เจอคนแบบนี้ แต่ถ้าคุณเคยพบเจอพวกเขาลองพิจารณาก่อนว่าเขามีอาการหนักแค่ไหน ถ้าเป็นระยะเริ่มต้นหรือยังมีอายุน้อยหน่อย ก็คงพอที่จะปรับเปลี่ยนนิสัยได้บ้าง แต่สำหรับบางคนต้องยอมรับว่าแก่เกินแกงจริงๆค่ะ ปล่อยเขาให้อยู่ในโลกของเขาไปเถอะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก board.postjung.com
[ads=center]
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ