มาหลอกตัวเองกันเถอะ!!หากคิดว่าแย่  ผิดแล้ว





ก่อนที่เราจะสามารถหลอกตัวเองให้สัมฤทธิ์ผลและเกิดประโยชน์ได้ เราต้องรู้จักกับคำว่า “Placebo Effect”(ปรากฎการณ์ยาหลอก) กันก่อน

 

[ads]

 

    Placebo Effect  เป็นชื่อที่ใช้เรียกปรากฎการณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญมากๆทั้งวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา ปรากฎการณ์นั้นคือ การที่เราหายจากความเจ็บปวดหรือโรคใดโรคหนึ่งเพียงเพราะเราเชื่อว่ายาที่รับมานั้งเป็นยารักษาโร(ทั้งที่จริงยาดังกล่าวอาจเป็นเพียงน้ำเปล่าผสมสี หรือไม่ก็ผงแป้งอัดเม็ด) ปรากฎการณ์ยาหลอกนั้นเป็นปรากฎการณ์ที่ได้รับการทดลองและศึกษาวิจัยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในหลากหลายวงการ โดยผลที่ได้นั้นคละเคล้ากันไป บางครั้งยาหลอกก็สามารถทำให้คนคนหนึ่งหายจากอาการบางอย่าง เช่น อาการคัน แพ้ หรือจิตหลอนได้ทันที แต่บางครั้งก็ใช้ไม่ได้ผลเลย อย่างไรก็ตามผลการทดลองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สุดก็คือ ยาหลอกจะทำให้อาการที่เป็นอยู่นั้นดีขึ้นกว่าปกติ เพียงแต่อาจจะไม่ดีขึ้นเท่ากับผลจากยาจริง และสิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งไปกว่านั้นคือ ผลการวิจัยระบุว่า ยาหลอกเม็ดใหญ่ใช้ได้ผลดีมากกว่ายาหลอกเม็ดเล็ก(คือหลอกให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นมากกว่า)

Placebo-Pills

ภาพ:www.geneticliteracyproject.org

   เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเรา “คิดว่า” ยาที่ทานเข้าไปจะทำให้เราหายจากโรคร้ายและพ้นจากความทุกข์ทรมาน เราจึงมีความหวัง ความหวังนี้จะช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย สบายใจ และในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความเครียดและความกังวลลดลง สมองก็จะหยุดหลั่งฮอร์โมนตัวร้ายที่ชื่อ “คอร์ติซอล” ซึ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอและภูมิต้านทานของเราลดลง กล่าวคือ ยาหลอกทำให้จิตใจเราแข็งแกร่งขึ้น ร่างกายเราจึงแข็งแรงตามไปด้วยนั่นเอง

   ในทางตรงกันข้าม หลายครั้งเราเพิ่มพลังให้กับโรคร้ายโดยไม่รู้ตัวเพราะการคิดลบ ทุกครั้งที่เราหมดหวัง ยอมแพ้และท้อแท้ เรากำลังป้อนอาหารให้โรคร้ายเจริญเติบโตด้วยพลังชีวิตของเราเอง เรามักจะมองสภาพจิตใจว่าเป็น “ผล” มาจากสภาพร่างกายเสมอ เป็นต้นว่าเรารู้สึกซึมเศร้าเพราะเราป่วย แต่เราลืมไปว่าจริงๆแล้วสภาพร่างกายก็เป็นผลของสภาพจิตใจไม่ต่างกัน กล่าวคือใจที่ซึมเศร้า เครียด สิ้นหวัง และเต็มไปด้วยความเชื่อลบๆก็ทำให้ร่างกายเราล้มป่วยและสิ้นสภาพได้เหมือนกัน แต่ข่าวดีก็คือ เวลาเราล้มป่วยหรือมีโรคร้ายเราไม่ต้องรอให้หมอหรือนักทดลองคนไหนมาให้ยาหลอกเรา เพราะ อันที่จริงมนุษย์ทุกคนมียาหลอกอยู่ในตัวเองตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่เราเรียกมันด้วยชื่อที่ต่างไปว่า “ความเชื่อ” นั่นเอง

   สิ่งที่ทำให้ผู้ถูกทดลองมากมายอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหรือบางรายก็หายจากโรคนั้น ไม่ใช่ผงแป้งอัดเม็ดหรือน้ำผสมสี แต่เป็นความเชื่อของเขาต่างหาก ความเชื่อว่าตัวเองจะหาย และเชื่อว่าตัวเองยังมีความหวังเสมอ ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแรงและพร้อมจะต่อสู้กับโรคร้าย แต่อย่าลืมว่าพลังทุกอย่างมีขีดจำกัดของมัน พลังความเชื่ออย่างเดียวยังไม่เพียงพอ แต่พลังความเชื่อต้องคู่ไปกับพลังของการกระทำด้วย

  การหลอกตัวเองบางทีก็มีประโยชน์ ถ้ารู้จักใช้มันเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเราเอง “สมองไม่สามารถแยกแยะระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องหลอกได้ ดังนั้นสิ่งใดที่ถูกย้ำบ่อยๆ สิ่งนั้นคือความจริง”

 

 

[ads=center]

 

ขอบคุณเนื้อหาจาก: นิตยสาร Secret ,คอลัมน์ Mind Management

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: