หากคุณเป็นคนที่ชอบกินน้ำแข็งเอามากๆ โปรดปรานการขบเคี้ยวน้าแข็งเป็นที่สุด Thaijobsgov.com ขอแนะนำให้คุณอ่านบทความนี้ แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมคุณถึงได้ติดน้ำแข็ง เพราะนอกจากน้ำแข็งจะไม่มีประโยชน์ทางด้านโภชนาการแล้วการเคี้ยวน้ำแข็งยังทำให้เราดูเสียบุคลิกภาพอีกด้วย และหากคุณอยากเลิกกินน้ำแข็งแล็วล่ะก็ ลองอ่านบทความนี้ดูนะคะ
หลายคนชอบเคี้ยวน้ำแข็งเวลาอากาศร้อนๆใช่ไหมคะ ถ้าคุณกินน้ำแข็งไม่เยอะและไม่บ่อยก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกค่ะ แต่หากคุณเป็นคนที่ติดน้ำแข็งจนไม่สามารถที่จะเลิกกินได้เลย กินในปริมาณมากๆ หรือจะต้องกินทุกวันแบบขาดไม่ได้ นั่นเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนว่าคุณอาจจะขาดธาตุเหล็กหรืออาจจะเป็นโรคเลือดจางเข้าให้แล้ว จากประสบการณ์ตรงของตัวผู้เขียนเอง เป็นคนที่ชื่นชอบการกินน้ำแข็งมากๆ กินทุกวัน ไม่รู้สึกเบื่อเลย นั่งเคี้ยวน้ำแข็งเปล่าเป็นถังๆก็มี บางที่ไปกิน KFC ก็จะจิบๆน้ำอัดลมแล้วเทออก เหลือแต่น้ำแข็งไว้นั่งเคี้ยวกรุ๊ปๆ แต่บางทีก็ไม่เข้าใจว่าน้ำแข็งที่ไม่มีรสชาติทำไมเรารู้สึกว่ามันอร่อย อยากเคี้ยวเอามากๆ
ผู้เขียนกินแบบนี้มาประมาณ 4 ปี จนวันหนึ่งตัดสินใจไปตรวจสุขภาพ ตรวจหาภาวะเลือดจาง ผลตรวจพบว่าความเข้มข้นของเลือดต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (ค่า HTC ต่ำกว่าเกณฑ์)นอกจากเลือดจางแล้วยังขาดธาตุเหล็กอีกด้วย
*** จาการสอบถามคุณหมอเรื่องเคี้ยวน้ำแข็งว่า กินน้ำแข็งมากๆทำให้เป็นโรคเลือดจางหรือป่าว?
คุณหมอตอบว่า การกินน้ำแข็งไม่ทำให้เป็นโรคเลือดจาง แต่มันอาจจะเป็นสันยานที่บ่งบอกว่าเรากำลังขาดธาตุเหล็ก และนำไปสู่ภาวะเลือดจางในที่สุด การกินอาหารที่ไม่มีคุณค่า เช่น น้ำแข็ง ดินเหนียว แป้งข้าวโพด กระดาษ ฯลฯ จัดเป็นปัญหาสุขภาพกลุ่ม “ไพค่า (pica)”
ความรู้สึกอยากกินและเคี้ยวน้ำแข็งมักมีความสัมพันธ์กับโรคเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก นอกจากนั้นยังอาจเป็นผลจากปัญหาทางจิตใจ เช่น ความเครียด พฤติกรรมย้ำคิด-ย้ำทำ พัฒนาการผิดปกติในเด็ก เพราะฉะนั้นหากมีอาการดังกล่าว ควรจะพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา ***
หลังจากพบคุณหมอแล้ว ได้ยากินบำรุงเลือดมา 2 อย่าง
1. FOLIC ACID 5 mg. กินวันละ 1เม็ดหลังอาหารเช้า หน้าตามันเป็นแบบนี้ค่ะ เหมือนกับยาที่หมอจ่ายให้กับคนที่ตั้งครรภ์กินบำรุงเลือดค่ะ
FOLIC ACID 5 mg.
2. ยาบำรุงเลือด เขียนว่า FBC หน้าซอง หมอให้กินหลังอาหาร 3 เวลา ครั้งละ 1 เม็ด
(ครั้งแรกหลังจากการตรวจหมอจ่ายยาให้กิน 1 เดือน แล้วหมอก็นัดให้มาเจาะเลือดดูค่าเลือดอีกที)
หลังจากที่กินยาไปเกือบ 1 เดือน ผู้เขียนไม่มีความรู้สึกอยากกินน้ำแข็งเลย และเลิกเคี้ยวน้ำแข็งไปเลย
1 เดือนผ่านไป
ถึงวันที่ต้องตรวจเลือดแล้ว ผลเลือดออกมาปรากฏว่าค่า HCT สูงขึ้นมาก จากเดิมความเข้มข้นของเลือด 29 ผ่านไป 1 เดือน ความเข้มข้นของเลือดเป็น 36 ธาตุเหล็กในเลือดก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน การรักษาเป็นที่น่าพอใจเลยทีเดียว ค่าเลือดจัดอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว แต่ก็ต้องกินยาต่อประมาณ 2-3 เดือน และตรวจหาสาเหตุต่างๆที่ทำให้เราขาดธาตุเหล็กและเลือดจาง เพื่อรักษาที่ต้นเหตุต่อไป
นี่เป็นยาที่คุณหมอจ่ายให้ค่ะ
หลายคนสงสัยว่า ค่า HTC คืออะไร ??
เฮมาโตคริต( HCT หรือ Hct) คือความเข้มข้นของเลือดเป็นการตรวจเพื่อหาปริมาตรเม็ดเลือดแดงในเลือด มักเรียกทับศัพท์ว่าเฮมาโตคริต (haematocrit หรือ hematocrit) หรือ ปริมาตรเซลล์อัดแน่น (packed cell volume, PCV) เข้าใจกัน ง่าย ๆ ก็คือเป็นการวัดว่าร่างกายมีเม็ดเลือดแดงพอหรือไม่ หากไม่พอก็เกิดภาวะโลหิตจาง และการตรวจความเข้มข้นของเลือดเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจความสมบูรณ์ของเลือด ความผิดปกติที่พบมีได้ทั้งมากเกินไป และน้อยเกินไป ค่าเข้มข้นของเลือดไม่ได้บอกสาเหตุของโรค บอกเพียงแต่มีความผิดปกติของปริมาณเม็ดเลือดแดง
ตารางแสดงค่าปกติของ Hct
- ให้ยึดถือตามค่าที่ระบุไว้ในใบแสดงผลการตรวจเลือด (ถ้ามี)
- ค่าปกติทั่วไป
ผู้ชาย: |
42%–52% or 0.42–0.52 volume fraction |
---|---|
ผู้หญิง: |
36%–48% or 0.36–0.48 volume fraction |
เด็ก: |
29%–59% or 0.29–0.59 volume fraction |
ทารก: |
44%–64% or 0.44–0.64 volume fraction |
ค่าวิกฤติ (ยกเว้นทารก) Hct < 15% หรือ > 60%
[ads]
สำหรับภาวะขาดธาตุเหล็ก เรามาดูกันดีกว่าว่ามีสาเหตูมาจากอะไรบ้าง และมีวิธีการรักษาอย่างไร
เราขาดธาตุเหล็กเพราะอะไร
สาเหตุของการขาดธาตุเหล็กพบได้หลากหลาย ที่พบบ่อย เช่น
1. รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กน้อย พบได้บ่อยในเด็กทารกที่รับประทานแต่นมเพียงอย่างเดียว เนื่องจากในนมมีปริมาณธาตุเหล็กเพียงเล็กน้อย ในผู้ใหญ่ การขาดธาตุเหล็กจากการรับประทานน้อยเจอได้ไม่บ่อย
2. การดูดซึมธาตุเหล็กผิดปกติ เป็นสาเหตุที่พบได้ไม่บ่อย อาจเกิดจากการมีกรดในกระเพาะอาหารลดลง เช่น ผู้ที่รับประทานยาลดกรดในกระเพาะอาหารนานๆหรือผู้สูงอายุ ผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดเอากระเพาะอาหารออก ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดเอาลำไส้เล็กส่วนต้นออก ผู้ที่มีการอักเสบของลำไส้เล็กส่วนต้นเรื้อรัง เป็นต้น
3. ความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มมากขึ้น พบได้บ่อยในผู้ที่ตั้งครรภ์อยู่ หรือมีการให้นมบุตร โดยความต้องการธาตุเหล็กของคนกลุ่มนี้จะมากกว่าคนทั่วไปถึงสามเท่า ในเด็กเล็กที่กำลังเจริญเติบโตก็มีความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
4. สูญเสียธาตุเหล็กมากกว่าปกติ มักเกิดจากการเสียเลือดเรื้อรัง สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ เลือดประจำเดือนออกมากและนานกว่าปกติในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ เลือดออกในทางเดินอาหารจากสาเหตุต่างๆ เช่น แผลในกระเพาะอาหารเรื้อรัง เลือดออกในหลอดอาหาร ริดสีดวงทวารหนัก หรือแม้แต่มะเร็งลำไส้ใหญ่ก็อาจจะมีอาการนำให้ทราบได้จากภาวะขาดธาตุเหล็ก การเสียเลือดจากสาเหตุอื่นๆที่พบไม่บ่อย เช่น จากเม็ดเลือดแดงแตกและเสียเลือดในทางเดินปัสสาวะ เสียเลือดจากระบบทางเดินหายใจ การบริจาคเลือดบ่อยครั้งกว่าที่กำหนดและไม่รับประทานยาเสริมธาตุเหล็กทดแทน เป็นต้น
จะเกิดอาการอย่างไรเมื่อขาดธาตุเหล็ก
ผู้ที่ขาดธาตุเหล็กในระยะแรกอาจยังไม่มีอาการใดๆ เนื่องจากมีธาตุเหล็กที่เก็บสะสมสำรองอยู่ ต่อเมื่อการขาดธาตุเหล็กนั้นเป็นมากขึ้นจึงค่อยๆเริ่มเกิดอาการ อาการอาจเป็นแบบไม่จำเพาะ เช่น รู้สึกหงุดหงิด ความคิดความอ่านไม่แจ่มใส นอนไม่หลับ อาการที่เกิดได้บ่อยและทำให้แพทย์วินิจฉัยภาวะขาดธาตุเหล็กได้นั้นมักเกิดจากอาการทางระบบเลือด ได้แก่การเกิดภาวะโลหิตจางนั่นเอง อาการของภาวะโลหิตจาง ได้แก่ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายมากขึ้นเวลาออกแรง หรือหากเป็นมากอาจมีอาการเหนื่อยเวลาอยู่เฉยๆ มีอาการเวียนศีรษะ หมดสติ ใจสั่น หัวใจล้มเหลว ผู้ป่วยบางรายอาจมีคนทักว่าดูซีดลง กินอาหารรสเผ็ดแล้วแสบลิ้นเนื่องจากมีลิ้นเลี่ยน ในรายที่เป็นมานานๆอาจมีเล็บผิดรูปโดยงอเป็นรูปช้อน
จะวินิจฉัยภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กได้อย่างไร
โดยทั่วไปแพทย์จะวินิจฉัยภาวะนี้จะการซักถามประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดก่อน จากนั้นจึงส่งตรวจเลือดเพื่อดูเม็ดเลือดสมบูรณ์, ปริมาณธาตุเหล็กในร่างกาย, และปริมาณธาตุเหล็กสะสม ในสถานที่ที่การตรวจทำได้ไม่สมบูรณ์ อาจใช้การให้การรักษาด้วยยาธาตุเหล็กและตรวจติดตามว่าตอบสนองดีหรือไม่ หากตอบสนองดีก็น่าจะเป็นโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กจริง แต่หากไม่ดีขึ้นก็ควรนึกถึงภาวะโลหิตจางจากสาเหตุอื่น
การรักษาภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
การรักษาขึ้นกับความเร่งด่วนของอาการ หากมีภาวะโลหิตจางรุนแรงมากหรือเป็นในผู้สูงอายุก็ควรได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ให้ออกซิเจน ให้เลือดแดงทดแทน จากนั้นจึงให้ธาตุเหล็กทดแทนร่วมไปด้วย โดยที่มีใช้จะอยู่ในรูปของยารับประทานและยาฉีดเข้าเส้นเลือด ยาธาตุเหล็กในรูปรับประทานมักจะถูกใช้ก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากใช้ง่าย ให้ผลการรักษาดีและราคาไม่แพง ยาจะมีหลายรูปแบบซึ่งจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณธาตุเหล็กที่เป็นส่วนประกอบ ส่วนใหญ่จะให้ผลการรักษาไม่ต่างกัน เมื่อรับประทานยาธาตุเหล็กแล้วจะมีอุจจาระสีดำ ซึ่งเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นกับทุกคนที่กินยา ผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ อาการมวนท้อง คลื่นไส้ ท้องอืด ซึ่งมักไม่ใช่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่ในบางคนอาจทนภาวะนี้ไม่ไหว จำเป็นต้องให้ในรูปยาฉีดแทน ซึ่งจะยุ่งยากมากกว่า ราคาแพงและอาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ การรักษามักต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 3 – 6 เดือนเพื่อให้ธาตุเหล็กเก็บสะสมในร่างกายเต็มที่ ที่สำคัญระหว่างการรักษาโดยให้ธาตุเหล็กทดแทน จะต้องมีการหาสาเหตุที่ขาดธาตุเหล็กและรักษาไปด้วยเสมอเพื่อเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ ในผู้ที่มีความเสี่ยงของการขาดธาตุเหล็ก เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร เด็กที่กำลังเจริญเติบโต ผู้ที่บริจาคโลหิตเป็นประจำ ถึงแม้ยังไม่เป็นโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ก็ควรพิจารณารับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงอย่างเป็นประจำ
หากท่านใดกำลังประสบปัญหานี้อยู่ ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะคะเพราะอาการการดังกล่าวสามารถรักษาหายได้ ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ซื้อยากินเอง ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป
เรียบเรียงข้อมูลโดย : Thaijobsgov.com
รูปภาพจากเพิ่มเติมจาก :
www.mindfood.com, www.peakptfitness.com, www.health.harvard.edu , her101.com,http://www.confusedwithfood.com/
ขอบคุณเนื้อหาและข้อมูลเพิ่มเติมจาก :
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=850, https://www.gotoknow.org/posts/16341,
http://www.siamhealth.net/, http://hfvoyager.com/, healthfood.muslimthaipost.com
[ads=center]
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ