การติดเชื้อของแบคทีเรียที่ผิวหนังอาจฟังดูไม่น่ากลัว เพราะน่าจะสามารถรักษาให้หายได้ไม่ยาก แต่สำหรับการติดเชื้อในระดับชั้นตั้งแต่หนังกำพร้าจนถึงชั้นไขมันส่วนบน อาจจะก่อให้เกิดโรคไฟลามทุ่งและส่งผลต่อการติดเชื้อลงไปลึกถึงชั้นไขมันส่วนล่างได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะแก้ไขได้ยากมากขึ้น
“แบคทีเรียกินเนื้อ” ที่เราจะกล่าวถึงกันในที่นี้ หมายถึง การติดเชื้อของแบคทีเรียที่ผิวหนังชั้นลึกถึงระดับเนื้อเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ ซึ่งมักจะมีอาการรุนแรง มีไข้ ปวดบวม แดงร้อนและอาการอักเสบร่วมด้วย ที่สำคัญสามารถทำให้เสียชีวิตได้เลย
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและทำให้เกิดการอักเสบแบบมีเนื้อตายที่ผิวหนังตั้งแต่ชั้นหนังกำพร้าถึงชั้นเนื้อเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ
โรคนี้พบได้บ่อยในผู้ป่วยดังต่อไปนี้
1. บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
2. บุคคลที่มีโรคเบาหวานหรือโรคตับแข็งร่วมด้วย
การติดเชื้อมักพบหลังการผ่าตัดหรือหลังประสบอุบัติเหตุ ทำให้เกิดแผลและสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่มีเชื้อแบคทีเรีย
อาการและอาการแสดง
ลักษณะอาการที่พบในระยะแรก คือ
1. มีอาการเจ็บปวดบวม แดง ร้อน ที่ผิวหนังอย่างมาก โดยอาการบวมแดงจะลามอย่างรวดเร็ว และอาจมีตุ่มน้ำร่วมด้วย
2. ต่อมาสีของผิวหนังจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงและมีเนื้อตายเกิดขึ้น เมื่อมีเนื้อตายเกิดขึ้นผู้ป่วยอาจมีอาการชาเข้ามาแทนที่อาการเจ็บปวด นอกจากนี้ก็มักจะมีไข้สูง และมีการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือดร่วมด้วย
3. ผู้ป่วยอาจมีภาวะช็อคและอวัยวะต่างๆ มีการทำงานที่ลดลง เช่น ไต ตับ เป็นต้น อีกทั้ง ยังพบการติดเชื้อบ่อยๆที่บริเวณแขนและขา
การติดเชื้อแบคทีเรียในชั้นลึกระดับเนื้อเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 17-49% ทั้งนี้ขึ้นกับโรคประจำตัวของผู้ป่วยและอวัยวะที่มีการติดเชื้อด้วย โดยหากเป็นผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นโรคเบาหวาน หรือเป็นโรคตับแข็ง จะทำให้มีความเสี่ยงสูงในติดเชื้อ รวมถึงการติดเชื้อจะลุกลามอย่างรวดเร็ว
[ads]
การรักษา
ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาแบบเฉพาะ โดยการใช้ยาต้านจุลชีพในรูปยาฉีดร่วมกับการผ่าตัด เมื่อเริ่มมีอาการผิดปกติ จำเป็นต้องเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาโรคตั้งแต่ระยะต้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้
คำแนะนำในการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากแบคทีเรียกินเนื้อ
1. ระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ หรือป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผล ที่จะสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่สกปรกโดยตรง
2. ถ้าเกิดมีแผลที่ผิวหนัง ควรล้างทำความสะอาดให้ดี และควรทำแผลทันทีให้ได้เร็วที่สุด จากนั้นให้พันแผลให้มิดชิดแต่ระบายอากาศได้ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่สกปรก
3. ไม่ควรบ่งแผลด้วยเข็ม หรือกรีดเปิดแผลด้วยตัวเอง เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้อาจไม่สะอาด และจะยิ่งส่งเสริมการติดเชื้อให้เพิ่มมากขึ้น
4. ถ้าแผลเริ่มมีอาการปวดบวม รู้สึกแดงร้อนที่ผิวหนัง หรือมีไข้ ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อแพทย์จะได้วินิจฉัยว่าเข้าข่ายอาการแบคทีเรียกินเนื้อหรือไม่ ถ้าใช่จะได้รักษาได้โดยทันท่วงที
5. ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ โรคเบาหวาน โรคตับแข็ง ถือเป็นผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ คุณจำเป็นต้องให้ความระมัดระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ
จะเห็นได้ว่าอุบัติเหตุหรือการเกิดแผลเล็กๆน้อยๆที่คุณคิดว่าอีกไม่นานก็หาย อาจส่งผลให้คุณสูญเสียสิ่งที่มีค่าบางอย่างในชีวิตไปได้หากคุณเกิดเหตุการณ์แบคทีเรียกินเนื้อขึ้นและรักษาได้ไม่ทันเวลา
เพราะฉะนั้น อย่าชะล่าใจในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และควรที่จะไปพบแพทย์ทุกครั้งที่เกิดแผลใหญ่ หรือแผลจากของมีคมที่คาดว่าน่าจะมีสิ่งสกปรกสูง เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของคุณเอง
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก www.si.mahidol.ac.th
[ads=center]
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ