อดีตนักธุรกิจชาวนครศรีฯ ชีวิตอิ่มตัวผันไปเป็นเกษตรกร สะเทือนใจคนที่รักถูกมะเร็งคร่าชีวิต มุ่งมั่นค้นคว้านับสิบปีจนพบ ‘จุลชีพกำจัดเซลล์มะเร็ง’ ยืนยันสามารถรักษาโรคร้ายจนหายขาด มีบริษัทยาฝรั่งไม่ต่ำ 3 รายขอซื้อ เสนอเงินหลักพันล้าน…
เมื่อตอนบ่ายวันที่ 19 ม.ค.59 ที่บ้านเลขที่ 59 หมู่ 5 ต.ชะเมา อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช นายบรรยง นันทโจนาพร อายุ 70 ปี เจ้าของบ้าน ได้เชิญผู้สื่อข่าวไปพูดคุย และบอกเล่าถึงการค้นพบวิธีการรักษาโรคมะเร็งให้หายขาด
นายบรรยง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว ทั้งการทำธุรกิจจัดสรรพัฒนาที่ดิน ธุรกิจทัวร์ ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจอื่นๆ ในตัวเมืองนครศรีธรรมราช หลังอายุมากขึ้นจึงได้ผันตัวเองมาทำสวนเกษตรปลูกพืชพื้นบ้านของไทยนานาชนิดในอำเภอปากพนัง และศึกษาสรรพคุณของพืชชนิดต่างๆ
ต่อมา ปรากฏว่ามีญาติมิตรที่เคารพนับถือ บุคคลอันเป็นที่รักหลายคน ได้ล้มป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ทำให้ตนเสียใจมาก จึงได้ร่วมกับเพื่อนที่เป็นนักจุลชีวะ 3 คน ทำการค้นคว้าทั้งจากสมุนไพรไทย จากจุลชีพที่มีชีวิตมาเป็นเวลาร่วม 10 ปี จนค้นพบจุลชีพกำจัดเซลล์มะเร็งชนิดได้ผลเกินคาด
ทั้งนี้ หลังการค้นพบ จึงได้ผลิตจุลชีพขึ้นมาเพื่อให้การรักษาชาวบ้านที่ป่วยเป็นมะเร็ง ที่มาขอรับการรักษาและช่วยเหลือเป็นเวลาประมาณ 5 ปี มาแล้ว จากสถิติที่รวบรวมไว้ มีผู้มาขอรับจุลชีพไปเพื่อรักษามากกว่า 1,500 คน ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอาการดีขึ้น ผู้ป่วยระยะที่ 4 หรือระยะแพร่กระจายทั่วตัวรักษาแล้วหายขาด
พร้อมกันนี้ นายบรรยง ยังกล่าวว่า จากการค้นคว้าของตนนี้ถือว่าเป็นนักวิจัยพื้นบ้าน เราใช้หลักการหลังการตรงหลักที่ว่าโลกใบนี้ สิ่งมีชีวิตควบคุมด้วยสิ่งมีชีวิตด้วยกัน เซลล์มะเร็ง ไม่ตอบสนองต่อการรักษาทางเคมีทุกชนิด ไม่ว่ายาเคมีหรือรังสีบำบัด จึงเหลือทางเลือกอยู่ทางเดียว คือขจัดเซลล์มะเร็งในทุกอวัยวะที่เซลล์มะเร็งเข้าไปฝังตัวและกัดกินเนื้อเยื่อ แนวทางในการรักษาคือขจัดเซลล์มะเร็งให้หมดจากร่างกายก่อน ใช้เวลาไม่เกิน 120 วัน หลังจากเซลล์มะเร็งตายหมด จึงมารักษาเนื้อเยื่อทีหลัง
[ads]
"จะต่างกับการรักษาของโรงพยาบาล ที่ส่วนใหญ่จะดูเนื้อเยื่อที่เซลล์มะเร็งทำลายก่อน ก่อนใช้วิธีการรักษาด้านเคมีและรังสีบำบัด ที่ผู้ป่วยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นจำนวนมาก บางรายถึง 7-8 ล้านบาท ญาติสมาชิกในครอบครัวต้องช่วยกันหาเงินมารักษา ต้องขายทรัพย์สินที่มีอยู่ บางคนถึงกับหมดเนื้อหมดตัวและมีภาระหนี้สินเป็นจำนวนมาก แต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้"
หลังการค้นพบการรักษาด้วยวิธีนี้ ได้มีผู้คนที่บอกต่อกันไป รวมทั้งผู้ป่วยด้วยกันเองที่บอกต่อมีผู้เดินทางมาทำการรักษามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตนก็ช่วยเหลือ ไม่มีเงินจะรักษาให้ฟรี ใครจะช่วยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายในการผลิตจุลชีพกำจัดเซลล์มะเร็งก็ไม่ขัดศรัทธา เพราะการผลิตจุลชีพกำจัดเซลล์มะเร็ง หลังผลิตแล้วต้องบรรจุในแคปซูล ในกล่องสุญญากาศ เพื่อให้สามารถเก็บรักษาได้นาน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยจะสนับสนุนช่วยตรงนี้ก็ยินดี ตามกำลัง ไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์ อย่างที่เรียนให้ทราบว่า ไม่มีเงินมารักษาฟรี ไม่ต้องจ่ายตังค์ เพราะตนตั้งปณิธานต้องการช่วยคนอื่น ช่วยญาติมิตรเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมสังคม ร่วมชาติ ให้สามารถรักษาชีวิตยืนยาวอยู่ต่อไปจนถึงวัยอันควร ไม่ควรจะต้องจากลาบุคคลอันเป็นที่รักไปก่อนวัยอันสมควร ซึ่งตนได้รับบทเรียนและความเจ็บปวด ความปวดร้าวมาแล้วจากมะเร็งร้ายที่คร่าชีวิตคนที่เรารักไปอย่างไม่มีวันกลับ
นายบรรยง กล่าวอีกว่า ประมาณ 5 ปี ที่ค้นพบจุบชีพกำจัดเซลล์มะเร็ง ปรากฏว่ามีบุคคลบางกลุ่ม พยายามที่จะเข้ามาขัดขวาง โดยเฉพาะบุคคลในวงการสาธารณสุขบางกลุ่ม ที่พยายามขัดขวาง กลั่นแกล้งตนมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงประมาณ 2 ปีนี้ ทั้งการนำตำรวจมาจับกุม การแจ้งความผิดกฎ ระเบียบทางด้านสาธารณสุขต่างๆ นานา ทั้งๆ ที่ตลอดระยะเวลาที่ตนกับเพื่อนๆ ร่วมค้นคว้าวิจัยมา ได้ขออนุญาตต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทางราชการในการดำเนินการครบทุกฝ่าย รวมถึงจดทะเบียนนิติบุคคล เพื่อให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของทางราชการ แล้วก็ตาม
กรณีนี้ รวมถึงเมื่อวานนี้ (18 ม.ค.2559) ตนได้แถลงข่าวกับสื่อมวลชนในท้องถิ่น เพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้ชาวปากพนังและชาวนครศรีธรรมราช ที่ญาติมิตรลูกหลานป่วยเป็นมะเร็ง ให้ใช้แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรและจุลชีพ จะได้ผลมากกว่าการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่ในขณะนี้ ปรากฏว่ามีกลุ่มบุคคลในวงการสาธารณสุข ได้ข่มขู่ที่จะจับกุมตนอีก ขู่ว่าจะนำตำรวจมาปิดห้องวิจัยทดลองของตน ซึ่งตนขอเรียนว่า การค้นคว้าของตน และช่วยรักษาคนเป็นมะเร็ง ตนไม่ได้หวังรายได้ ไม่ได้หวังความร่ำรวย เพราะเคยทำธุรกิจมีเงินมีทองมาก่อนแล้ว ตนอายุปูนนี้แล้ว 70 ปี แล้ว ถือเป็นช่วงปลายของชีวิตแล้ว ไม่ต้องการทรัพย์สินเงินทอง ความเด่น ความดังอะไรเลย เพียงแค่จะขอบอกความจริงกับพี่น้องร่วมชาติว่า สมุนไพรไทย อาทิ กระเทียม หรือพืชพื้นบ้านอื่นๆหลายชนิด มีอิทธิฤทธิ์สรรพคุณมากกว่าที่เราคิดหรือเรารู้ ยิ่งมาผนวกกับจุลชีพที่ค้นพบที่เป็นเซลล์มีชีวิต จะสามารถสกัด ยับยั้ง รักษาโรคร้ายได้ ซึ่งตรงนี้ทำให้ผู้เกี่ยวข้อง วิตกกังวล เกรงจะไปกระทบช่องทางการทำมาหากิน หรือรายได้ จากบริษัทขายยา จากผู้ผลิตยาทั้งในและต่างประเทศ ที่แต่ละปีมียอดขายเป็นเงินมหาศาล
ในตอนท้าย นายบรรยง กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ได้ค้นคว้าวิจัย ไม่ได้ดำเนินการแบบงมงายหรือไร้หลักเกณฑ์ ได้นำผลการวิจัยของสถาบันต่างๆ นักวิชาการด้านนี้มาวิเคราะห์ และต่อยอดงานวิจัย เพื่อค้นคว้าหาแนวทางในการรักษามะเร็งอย่างถูกต้อง ถูกวิธี ทำการพิสูจน์ทราบตามขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ทุกอย่าง แล้วมาได้ข้อสรุปว่าสมุนไพรไทยคือทางเลือกที่ดีที่สุด ใช้ร่วมกับจุลชีพจะสามารถยับยั้งทำลายเซลล์มะเร็งได้ สถาบันการศึกษาหลายแห่งได้ยอมรับการต่อยอดวิจัย และมอบตำแหน่งเมธาจารย์ให้กับตน
อย่างไรก็ตามการเปิดอกคุยในครั้งนี้ เพื่อต้องการจะบอกกับผู้คนในสังคมไทยว่า สิ่งที่ตนค้นพบ มันเป็นแนวทางที่ดีที่สุด แต่ตนถูกกระทำมาตลอด ถูกเจ้าหน้าที่บางกลุ่มในวงการสาธารณสุขกลั่นแกล้งนำตำรวจมาจับกุมหลายครั้ง ทำให้บางครั้งตนรู้สึกท้อ ซึ่งนับจากนี้ไป ตนเสียดาย เสียดายการค้นพบในครั้งนี้ ว่ากลุ่มบุคคลในวงการสาธารณสุขบางกลุ่ม ทำไมถึงเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เอาระเบียบกฎเกณฑ์มาไว้ที่หน้าฉาก มากลั่นแกล้ง
"แนวทางการรักษาขณะนี้ หลังจากที่มีผู้ป่วยหายจากโรคร้าย โรงพยาบาลหลายแห่ง ได้นำวิธีการและแนวทางการรักษาแบบนี้ไปใช้ ล่าสุดมีบริษัทยาในต่างประเทศอย่างน้อย 3 ราย มาขอซื้อลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร เสนอเงินแต่ละรายมากกว่า 1 พันล้านบาท แต่ผมไม่ขาย เพราะต้องการสงวนและรักษาวิธีการรักษาช่วยเหลือคนไทย ขอยืนยันว่า ถ้าใช้วิธีการนี้แล้วรักษาไม่หาย ก็ยินดีเอาชีวิตเป็นเดิมพัน มาจับตัวไปยิงเป้าได้เลย" นายบรรยงกล่าว อย่างมั่นใจ
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก thairath.co.th
เรียบเรียงข้อมูลโดย ThaiJobsGov.com
[ads=center]
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ