คือให้นอนหลับเป็นเวลา 7 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ซึ่งจะเป็นการรักษาที่ให้ผลดีที่สุด และดื่มน้ำบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มน้ำให้ตาให้ชุ่มชื้นขึ้น หรือทำประคบเย็น โดยให้ใช้ผ้าขนหนูหนาหรือผ้าเช็ดหน้า พับ 3 ส่วน นำไปแช่น้ำที่มีน้ำแข็งจนเย็น บิดหมาด ๆ วางปิดตั้งแต่ขมับให้ทับพาดผ่านดวงตา เว้นสันจมูก ไปถึงขมับอีกข้าง ถ้าเย็นเกินไปให้เอาออก หากหายเย็นให้นำไปแช่น้ำเย็นใหม่อีกครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 20 นาที พัก 1 นาที วันละ 2 หน จะช่วยลดความเครียด เพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา และควรเปิดไฟดูทีวี การอ่านหนังสือในที่แสงสว่างเพียงพอ ดีที่สุดควรใช้เทคโนโลยีเท่าที่จำเป็น ใช้ให้ปลอดภัย เหมาะสม คือใช้นานประมาณ 25 นาที และให้พัก 5 นาที หรือใช้นาน 30 นาที และพัก 10 นาที เปลี่ยนอิริยาบถสลับกันไป จะช่วยได้ให้เหมาะสม ถ้าไม่จำเป็นอย่ายุ่งกับเทคโนโลยี ให้ควบคุมใจตัวเอง
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ทำความรู้จักโรค “อะเฟเซีย” อาการป่วยที่ทำให้ “บรูซ วิลลิซ” ต้องอำลาวงการ
Advertisement รู้จักโรค อะเฟเซีย อาการป่วยที่ทำให้ บรูซ วิลลิซ ต้องอำลาวงการ กลายเป็นข่าวช็อก! วงการฮอลีวู้ด อีกครั้งในสัปดาห์นี้ หลังจาก เดมี มัวร์ ออกมาประกาศว่า บรูซ วิลลิส นักแสดงชื่อดังจะต้องยุติบทบาทการแสดงลงเนื่องจากป่วยด้วยโรคอะเฟเซีย (aphasia) ที่มีผลทำให้เกิดความผิดปกติในการใช้ภาษา Advertisement Aphasia คืออะไร ? ข้อมูลจากเว็บไซต์พบแพทย์ เผยว่า Aphasia หรือภาวะบกพร่องทางการสื่อความ เป็นความผิดปกติทางการสื่อสาร ซึ่งมักเป็นผลมาจากสมองได้รับความเสียหายจากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกหรือการได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ทำให้ผู้ป่วยมีความผิดปกติในด้านทักษะของการสื่อสารและการใช้ภาษา ไม่สามารถโต้ตอบหรือทำความเข้าใจได้ และอาจมีปัญหาทางด้านการอ่านและการเขียนร่วมด้วย ภาวะดังกล่าวมีอยู่หลายรูปแบบ แต่โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ คือ แบบบกพร่องด้านความเข้าใจ แบบบกพร่องด้านการพูด แบบบกพร่องในการพูดทวนซ้ำ แบบบกพร่องทั้งด้านการพูดและการทำความเข้าใจ ซึ่งในแต่ละรูปแบบจะมีสาเหตุและอาการที่แตกต่างกันออกไป นอกจากรักษาที่สาเหตุแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการแก้ไขภาวะนี้ด้วยการบำบัดฟื้นฟู การใช้ภาษาและการสื่อสารร่วมด้วย อาการเป็นอย่างไร ภาวะ Aphasia ในแต่ละบุคคลจะมีอาการที่แตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับบริเวณที่สมองได้รับความเสียหายและระดับความรุนแรงของความเสียหายนั้น ภาวะนี้ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาต่อการพูด การทำความเข้าใจ การอ่าน การเขียน การสื่อสารและการรับสาร […]
admin111 admin111
31 March 2565ชายชาวจีนไม่ขับถ่าย 20 วัน หมอตรวจพบอุจจาระเต็มท้อง 5 กก.
Advertisement จีน 24 มี.ค. – ชายชาวจีนวัย 58 ปี มีอาการท้องอืด หลังไม่ได้ขับถ่ายนาน 20 วัน ก่อนพบมีอุจจาระตกค้างในลำไส้ ลามถึงช่วงอกเกือบถึงหัวใจ น้ำหนัก 5 กิโลกรัม เว็บไซต์ข่าว ctwant.com ของไต้หวัน เผยแพร่เรื่องราวของผู้ป่วยชายอายุ 58 ปี จากนครซินจูทางภาคเหนือของไต้หวัน ที่เข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลหลังไม่ได้ขับถ่ายมาเป็นเวลานาน 20 วัน จนเกิดอาการท้องอืดทนไม่ไหว ต้องรีบเข้าห้องฉุกเฉิน Advertisement เมื่อศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านลำไส้ใหญ่และทวารหนักตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ พบว่าผู้ป่วยมีลำไส้ใหญ่ซิกมอยด์ บริเวณช่องเชิงกราน มีขนาดยาวแตกต่างจากคนทั่วไปถึง 80 เซนติเมตร และเต็มไปด้วยอุจจาระจำนวนมากที่จับตัวเป็นก้อนคล้ายก้อนหิน น้ำหนักรวมประมาณ 5 กิโลกรัม กดทับช่วงอุ้งเชิงกรานขยายไปยังกะบังลม และช่วงอกเกือบถึงหัวใจ โชคดีที่แพทย์สามารถนำอุจจาระที่ติดค้างในร่างกายออกมาได้หมด ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นตามลำดับ และกลับบ้านได้ตามปกติ เบื้องต้นชายคนนี้ มีสิ่งแปลกปลอมในทางเดินอาหารจากการกิน หรือที่เรียกว่า bezoar ขนาด 6 x […]
admin111 admin111
24 March 2565รู้จักอาการ “เสพติดน้ำตาล” ภาวะติดหวานจนเสี่ยงโรค เป็นแบบนี้
Advertisement รู้จักอาการ ‘เสพติดน้ำตาล’ (Sugar Blues) ภาวะติดหวานจนเสี่ยงโรค เป็นแบบนี้ กระแสรักสุขภาพ และให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองกำลังเป็นอีกหนึ่งไลฟ์สไตล์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ซึ่งก็มีทั้งนวัตกรรมใหม่ๆ ไปจนถึงการปรับตัวของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในท้องตลาดต่างปรับตัวเพิ่มไลน์สินค้า “ทางเลือกเพื่อสุขภาพมากขึ้น” อาทิ สูตรหวานน้อย ไม่เพิ่มน้ำตาล เป็นต้น Advertisement แล้วทำไมถึงต้องลดความหวาน เลี่ยงน้ำตาล จากบทความเรื่อง “SUGAR อันตรายร้ายแรง กว่าที่คิดจริงหรือ?” ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลสุขุมวิท ได้ระบุไว้ค่อนข้างคลอบคลุมว่า ทำไม “นํ้าตาล” ถึงอันตรายขนาดนั้น จริงๆ แล้วถ้าเราสามารถทานนํ้าตาลในระดับที่ร่างกาย ต้องการในแต่ละวันก็ยังเรียกว่านํ้าตาลมีประโยชน์กับเราอยู่มาก แต่คนส่วนใหญ่ทั่วทั้งโลกมักทานน้ำตาลเกิน ปริมาณที่ร่างกายต้องการ อย่างปกติเราจะสามารถทานได้แค่วันละ 4-6 ช้อนชา ฟังดูเหมือนเยอะ แต่เอาเข้าจริง แค่เราเผลอดื่มนํ้าอัดลมกระป๋องเดียว (นํ้าตาลประมาณ 9 ช้อนชา) ปริมาณน้ำตาลก็เกินไปมากแล้ว นี่ยังไม่รวมน้ำตาลที่เป็นส่วนผสมอยู่ในอาหารที่เราทานตลอดทั้งวัน และเครื่องดื่มอื่นๆ ซึ่งหากร่างกายได้รับนํ้าตาลมากเกินไปก็จะทำให้เกิดการสะสมและเป็นอันตรายตามมาในอนาคตได้ ในเด็กๆ ที่ชอบทานขนมหวานก็อาจทำให้ ฟันผุได้ง่าย และยังมีแนวโน้มที่จะทำให้เลือดกำเดาออก ง่ายกว่าปกติอีกด้วย ส่วนในผู้ใหญ่ที่ชอบกินน้ำตาลมากๆ ก็จะทำให้ระดับของวิตามินบี 1 ในร่างกายลดน้อยลง […]
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ