สภาหนุน “บำนาญแห่งชาติ” ส่งต่อรัฐบาล หวังเป็นสวัสดิการ-ลดเหลื่อมล้ำ





สภาหนุน “บำนาญแห่งชาติ” เตรียมส่งต่อรัฐบาล หวัง เป็นสวัสดิการถ้วนหน้า-ลดเหลื่อมล้ำ ด้าน ‘นิยม’ ชี้ ต้องเดินหน้าเป็นหน้าที่รัฐต้องหาเงิน ระบุ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุวันละ 20 บาท อเนจอนาถเกินไป

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 27 พฤษภาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม พิจารณารายงานการศึกษา เรื่องแนวทางการเสนอกฎหมายบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาเสร็จแล้ว

โดย นายสมศักดิ์ คุณเงิน ส.ส.ขอนแก่น พรรคเศรษฐกิจไทย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาแนวทางการเสนอกฎหมายบำนาญแห่งชาติ ชี้แจงว่า ปัจจุบันระบบบำเหน็จบำนาญในประเทศไทยแบ่งเป็น 3 เสาหลัก คือ 1.การคุ้มครองจากภาครัฐ 2.การออมภาคบังคับ และ 3.การออมภาคสมัครใจ ซึ่งขาดความครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น แรงงานนอกระบบ ทำให้คนกลุ่มนี้ขาดรายได้ที่เป็นหลักประกันในการดำรงชีวิตยามชราภาพ ซึ่งผู้สูงอายุไทยส่วนใหญ่ ไม่มีความมั่นคงทางการเงิน เพราะต้องพึ่งพาเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นแหล่งรายรับเพียงแหล่งเดียวหลังเกษียณ ดังนั้น จากรายงานการศึกษาเรื่องนี้ จึงเสนอให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิบำนาญพื้นฐาน ให้มีการตั้งกองทุนเพื่อช่วยแก้ปัญหาด้านงบประมาณที่เป็นภาระของรัฐ และระบบบำนาญพื้นฐานฯ ควรเป็นสวัสดิการถ้วนหน้าเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และไม่ห่างจากเส้นแบ่งความยากจน

จากนั้น สมาชิกทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ร่วมกันอภิปรายแสดงความเห็น ส่วนใหญ่สนับสนุนรายงานการศึกษาดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าเงินบำนาญ 3,000 บาท จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้สูงอายุ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน แต่เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ควรหาวิธีบริหารรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่แบบราชการ เพราะมีข้อจำกัดมากทำให้เกิดความล่าช้า ซึ่งหวังว่ากฎหมายบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ จะเป็นการปักธงสวัสดิการถ้วนหน้า เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง

โดย นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย อภิปรายตอนหนึ่งว่า กฎหมายบำนาญแห่งชาติ จะเป็นการสร้างสถานภาพผู้สูงอายุให้ดีขึ้น จากที่ได้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท คิดเป็นวันละ 20 บาท ตนอเนจอนาถใจที่ผู้สูงอายุที่เคยสร้างคุณูปการให้กับประเทศ ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุแค่วันละ 20 บาท ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนเดิม

“ผู้สูงอายุวันนี้มี 12 ล้านคน หลายคนเกิดคำถามว่าต้องใช้งบประมาณปีละ 4 แสนล้านบาท จะเอาเงินจากที่ไหน ผมไม่อยากให้คิดแบบนั้น อยากขอให้ กมธ.เดินหน้าเรื่องนี้ อย่าไปคิดแทนว่าจะไม่มีเงิน เพราะรัฐบาลนี้ไม่มีอยู่แล้ว หาเงินไม่เป็น กู้เงินก็ทะลุเพดานแล้ว แต่เราต้องคิดถึงรัฐบาลหน้า คนที่มาเป็นนายกฯคนต่อไป ต้องมีศักยภาพหาเงินมาให้คน 12 ล้านคนให้ได้” นายนิยมกล่าว

ขณะที่ นายรงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อภิปรายว่า ตนชื่นชมที่ กมธ.ทำรายงานอย่างมีทิศทางน่าประทับใจ เพื่อเสนอแนะไปยังรัฐบาล ที่จะเปลี่ยนจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ ซึ่งเป็นเรื่องดีที่ประชาชนจะได้บำนาญแห่งชาติ แต่ตนคิดว่า ควรจะนิยามคำว่าผู้สูงอายุให้ชัดเจน เพื่อความครอบคลุม และเสมอภาค โดยไม่ต้องสนใจที่มาของผู้สูงอายุ เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องมีปัญญาและวุฒิภาวะ หาเงินมาเติมให้ได้มากกว่านี้ รัฐสภามีเพียงข้อเสนอแนะเท่านั้น นอกจากนี้ ควรเพิ่มสิทธิให้ผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุแต่ละกลุ่มมีศักยภาพแตกต่างกัน เพื่อสร้างทิศทางการดูแลที่เหมาะสม

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า การที่ประเทศไทยไม่มีรัฐสวัสดิการ ทำให้คนวัยกลางคนไม่กล้าเสี่ยง เพราะต้องดูแลพ่อแม่ และลูกหลาน ทำให้ไม่สามารถทำตามศักยภาพของประเทศได้ บำนาญจึงเป็นเรื่องจำเป็น เราต้องคิดว่าเป็นไปได้ และมีพลวัติ อย่าคิดว่าเป็นรายจ่าย แต่ให้คิดว่าเป็นการลงทุน ถ้ารอเวลาจะต้องใช้งบประมาณมากกว่านี้ในการแก้ปัญหา แต่ถ้าเริ่มทำตั้งแต่วันนี้จะใช้งบ 4 แสนล้านบาท วันนี้รายงานฉบับนี้จึงถือว่าเป็นสารตั้งต้นอย่างดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรใช้เวลาพิจารณารายงานการศึกษาแนวทางการเสนอกฎหมายบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ เกือบ 5 ชม. ได้ผ่านความเห็นชอบต่อรายงานดังกล่าว เพื่อให้สภาส่งต่อไปยังรัฐบาล ให้ดำเนินการตามรายงาน และข้อสังเกตต่อไป

 

ข่าวจาก : มติชน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: