รู้จักหุ้นโออาร์ “OR” กับการเป็นว่าที่หุ้นขวัญใจมหาชนตัวใหม่ ส่องเหตุผล ทำไม “หุ้น OR” จึงกลายเป็นที่สนใจของประชาชนและนักลงทุนรายย่อย
ขณะนี้แวดวงการเงินการลงทุน คงไม่มีใครไม่พูดถึง “หุ้น OR” ของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่เตรียมเปิดจองซื้อ “หุ้น OR” ภายใต้บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเลือกใช้วิธีจัดสรรหุ้นแบบ Small Lot First หรือเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้รับการกระจายหุ้นอย่างทั่วถึง
โดยในช่วงปีที่ผ่านมามีหลายบริษัทที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี เปิด IPO ครั้งแรกเช่นกัน แต่ทำไมหุ้น OR ถึงได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายย่อยอย่างมาก “กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” จะพาไปทำความรู้จัก OR ผ่านจุดดึงดูดที่น่าสนใจ
- ธุรกิจที่คุ้นเคย ความเชื่อมั่นที่สั่งสมมายาวนาน
หนึ่งในสิ่งที่นักลงทุนมักใช้ในการตัดสินใจเพื่อเลือกลงทุน คือการมองหาธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก รวมถึงดูปูมหลังทั้งตัวธุรกิจ แนวนโยบาย บรรดาผู้บริหาร หรือกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่จะนำพาไปสู่การเติบโตในอนาคต ซึ่ง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างดี และเป็นหนึ่งในแฟล็กชิพ (Flagship) ของกลุ่ม ปตท.
โดยธุรกิจหลักๆ มาจาก 3 ส่วน คือ
1.ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ดำเนินการผ่านสถานีน้ำมันภายใต้แบรนด์ PTT Station ที่คุ้นตาเป็นอย่างดี ปัจจุบันมีถึง 1,968 สาขา (ข้อมูล ณ 30 ก.ย.63) มีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมประเภทเดียวกันในไทยมานานกว่า 26 ปี ปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 38.9% ทิ้งห่างคู่แข่งอันดับสองมากกว่าสองเท่าตัว
2.ธุรกิจค้าปลีก หรือ Non-Oil Business ที่ OR นำเข้ามาบริการกับผู้บริโภคที่ปั๊ม PTT Station โดยเฉพาะร้าน Cafe Amazon ที่ในปี 2562 มียอดขายอยู่ถึง 264 ล้านแก้ว ขณะที่ปี 2563 (ข้อมูลถึง 30 ก.ย.63) มีจำนวนสาขา 3,168 สาขา ทั้งนี้ยอดเฉลี่ยของการเข้ามาใช้บริการร้านคาเฟ่อเมซอนใน PTT Station ราวๆ 3 ล้านคนต่อวัน
หลังจากเริ่มปรับรูปแบบการขยายร้านคาเฟ่อเมซอนเป็นแบบแฟรนไชส์ ทำให้ภาพการเติบโตสูงขึ้น โดยข้อมูลช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถึง 30 ก.ย.64 นั้น ร้านคาเฟ่อเมซอนในสถานีบริการน้ำมันเติบโตกว่า 10/5% และนอกสถานีบริการเติบโตขึ้น 46% อีกทั้งยังขยายการทำธุรกิจไปแล้ว 10 ประเทศ
3.ธุรกิจในต่างประเทศ ที่ขณะนี้มีการขยายไปแล้ว 10 ประเทศ
- ผลประกอบการยังคงเติบโตต่อเนื่อง แม้เผชิญวิกฤติ
ในแง่ของยอดขายนั้น แม้ว่าปี 2563 จะเป็นปีที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญวิกฤติโรคระบาด และมาตรการล็อกดาวน์หรือเข้มงวดต่อการแพร่ระบาด แต่ผลประกอบการของ OR กลับยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง โดยหากย้อนดูตัวเองในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 จะพบว่าทำยอดขายไปได้ 319,308 ล้านบาท
ขณะที่กำไรในรูปแบบ Ebitda หรือกำไรก่อนหักภาษี ค่าเสื่อมราคา และดอกเบี้ยนั้น อยู่ที่ 12,523 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนจากกลุ่มธุรกิจน้ำมัน 68% กลุ่มค้าปลีก 25% ในต่างประเทศ 5.8% ในส่วนของกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,869 ล้านบาท
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางนโยบายที่มีการวางแผนมาค่อนข้างแม้ธุรกิจจะต้องเผชิญวิกฤติที่มาอย่างเร็วแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
- IPO ครั้งนี้ เปิดโอกาสให้ประชาชนอย่างทั่วถึง
อีกส่วนหนึ่งคือ การเปิด IPO ครั้งนี้ เป็นการเปิดเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก และได้เปิดโอกาสให้เข้ามาจองซื้อหุ้น OR แม้จะไม่มีพอร์ตหุ้นก็ตาม ขณะที่การจัดสรรจะใช้วิธี Small Lot First หรือการกระจายหุ้นอย่างทั่วถึง โดยเริ่มในรอบแรกจะกระจายหุ้นให้ทุกคนในจำนวน 300 หุ้น หลังจากนั้นจะมีการกระจายเท่าๆ กันจนครบ และในรอบสุดท้ายจะใช้การสุ่มโดยโปรแกรม
โดยกำหนดให้ประชาชนทั่วไปได้เริ่มจองซื้อหุ้นก่อนในวันที่ 24 ม.ค. 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป จนถึงเวลา 12.00 น. ของวันที่ 2 ก.พ. 2564 หลังจากนั้นจึงจะเปิดให้ผู้ถือหุ้น PTT เริ่มจองซื้อได้วันที่ 25 ม.ค. 2564
ทั้งนี้มีการกำหนดราคาหุ้นไว้ที่ 16-18 บาท แต่ผู้ที่จองซื้อจะต้องชำระเงินค่าจองซื้อเต็มจำนวนที่ราคาหุ้นละ 18 บาท และจะได้รับส่วนต่างคืน หากราคาเสนอขายหุ้นสุดท้ายต่างจากราคาจองซื้อ ซึ่งระบบจะคืนเงินอย่างช้าที่สุดภายใน 22 ก.พ. 2564
นอกจากนี้รูปแบบของการจองซื้อหุ้น OR สามารถทำได้ง่ายๆ แม้ไม่มีพอร์ตหุ้นก็ตาม โดยการจองซื้อผ่านเว็บไซต์ และโมบายแบงกิ้งของ 3 สถาบันการเงิน ทั้งธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารกสิกรไทย นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางไปจองซื้อด้วยตัวเองได้ที่สาขาธนารคารทั้งสามแห่งด้วย
- ภาพกลยุทธ์หลังจากระดมทุน
ภาพอนาคตองค์กรหลังจากระดมทุน OR วางเป้าหมายด้วยการขยาย PTT Station อีกกว่า 100 แห่งต่อปี จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 1,900 แห่ง เป็น 2,500 แห่งในปี 2568
ทั้งนี้เพื่อให้ขยายได้อย่างรวดเร็ว และใช้เงินลงทุนที่ต่ำ OR จึงเล็งไปที่สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทยรายย่อย จึงในรูปแบบดีลเลอร์โอเปอเรท (DODO) คือการให้ผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมัน เป็นผู้ลงทุนและบริหารเอง ภายใต้การกำกับของ OR เป็นสัดส่วน 80% และอีก 20% จะลงทุนเองในรูปแบบ COCO (company own company operate)
รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการรองรับความเปลี่ยนด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะความต้องการพลังงานรูปแบบใหม่ ปัจจุบันเริ่มทดลองให้บริการชาตร์จไฟฟ้าหับรถยนต์ EV แล้ว 25 แห่ง
อีกทั้งวางเป้าขยายฐานการสร้างรายได้และเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรด้วยการคัดสรรผลิตภัณฑ์นอนออยที่เป็นแบรนด์ของ OR เอง และพันธมิตรคู่แข่ง และไม่ได้เติบโตแค่ใน PTT Staion แต่จะเป็นการเติบโตในรูปแบบสแตนอโลนเอาท์เลต
นี่เป็นภาพส่วนหนึ่งของจุดเด่นที่น่าสนใจของ OR ธุรกิจที่ไม่ได้เติบโตแค่จากธุรกิจน้ำมัน แต่ยังขยายไปสู่ธุรกิจ Non-oil โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ยังคงเห็นทิศทางการเติบโตในอนาคต อย่างไรก็ตามการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดอย่างรอบด้าน
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ