“ทักษิณ” โชว์กึ๋นแก้โควิด ชี้ป้องกันดีกว่าควบคุม แนะต้องให้ศก.เปิด คนหาเช้ากินค่ำไม่ลำบาก





“ทักษิณ” โชว์กึ๋น แก้ โควิด ชี้ป้องกันดีกว่าควบคุม ยกดูไบ ตายหลายร้อย แต่ยังเปิดประเทศ ให้เศรษฐกิจเดินได้ เผยถ้าปิด คนหาเช้ากินค่ำลำบาก แนะต้องให้ความรู้ ไม่ให้ตกใจกลัว

วันที่ 1 ม.ค.64 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบสองในประเทศไทยว่า อย่าไปตกใจมาก จริงๆแล้วมันอยู่ที่ทัศนคติการทำงานว่าอยากจะเป็นในลักษณะให้ควบคุมหรือป้องกัน ซึ่งต้องเข้าใจการควบคุมเชื้อโรคสั่งไม่ได้ เพราะเชื้อโรคไปได้ทุกที่ทุกเวลา แต่คนที่เชื้อโรคจะติดนั้นถ้าให้ความรู้กับเขาดีดีเขาจะไม่ตกใจ แต่จะเข้าใจและป้องกันตัวเองได้ ตอนนี้ที่ทั้งโลกตกใจเพราะรอบแรกที่ระบาดนั้นไวรัสมันมีหลายตัว แต่คงเหมือนไข้หวัดใหญ่เมื่อก่อนที่คล้ายๆไวรัสตัวนี้ เราไม่มีความรู้เราก็เลยกลัวไปหมดจนมีวัคซีนเกิดขึ้นวิธีการรักษาง่ายขึ้นคนก็ไม่กลัว ฉะนั้นแล้วมันเป็นเรื่องที่เราชินกับมันแล้วร่างกายเรามีภูมิคุ้มกันก็เลยหยุดกลัว

ส่วนไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งมนุษย์ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน และเกิดได้ในหลายรูปแบบ ตอนนี้ร่างกายเรายังสู้ไม่ได้ ซึ่งผู้ที่จะเสียชีวิตจากโควิดนั้นมีอัตราต่ำมาก โดยอัตราการติดเชื้อทั้งโลก 81 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมากแต่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ประชากรไม่ถึง 2% ที่ติดเชื้อ และที่ติดเชื้อแล้วเสียชีวิตนั้นจริงๆแล้วส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับวัณโรค หรือพวกเปราะบาง เช่น ผู้ที่มีอายุเกิน 70 ปี มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน เบาหวาน หัวใจ ความดันสูง

นายทักษิณ กล่าวว่า ถ้าเราให้อำนาจในการคิดการตัดสินใจกับประชาชนโดยการให้ความรู้การป้องกันจะดีกว่าการควบคุม เช่น ที่ดูไบมีการเสียชีวิตจากโควิด 600 กว่าคน ก็ถือว่าไม่มาก แต่เขาเปิดประเทศเลย เพราะทำมาหากินเรื่องท่องเที่ยว แล้วเปิดประเทศโดยวิธีป้องกันคือใครเข้าประเทศก็ตรวจCPRหาเชื้อเลย นั่นจึงเป็นระบบป้องกันมากกว่าระบบควบคุม ซึ่งการควบคุมมันมีราคาแพงต้องใช้เจ้าหน้าที่ทำให้การควบคุมแพงกว่าการป้องกัน ซึ่งวิธีการป้องกันยังถือเป็นการเปิดเศรษฐกิจด้วย แต่วิธีการควบคุมเป็นการปิดเศรษฐกิจทั้งหมด

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า อยากเห็นประเทศไทยใช้ระบบป้องกันให้ความรู้กับประชาชนอย่างชัดเจน อย่าตกใจกลัว แล้วป้องกันการ์ดอย่าตกเท่านั้นเอง ผู้ที่เป็นกลุ่มเปราะบางก็ให้อยู่บ้านก็จะเป็นการป้องกัน อีกทั้งเศรษฐกิจก็เปิดประชาชนก็ไม่เครียดสามารถออกไปทำมาหากินได้ วันนี้ต้องหาความพอดีระหว่างความเป็นอยู่กับการป้องกันโรค ซึ่งจะเป็นวิธีไหนก็แล้วแต่รัฐบาลจะคิด บางทีรัฐบาลทำไปอาจจะมีเหตุผลของเขา ซึ่งตนก็ไม่อาจรู้ได้ถ้าดูจากภายนอกอยากเห็นเศรษฐกิจดีกว่านี้

ฉะนั้นต้องให้เศรษฐกิจเปิด ตลาดมันเดินไปได้ไม่เช่นนั้นคนหาเช้ากินค่ำจะอยู่กันลำบาก ดังนั้นต้องมีความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจกับการป้องกัน ไม่ใช่การควบคุมนั่นมันจะเอาไม่อยู่ เพราะเชื้อโรคมันไม่เชื่องแล้วเราก็ต้องมาใช้กำลังคนใช้เงินจำนวนมาก

หลังโควิดนี้เราจะเห็นพฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนอย่างที่แรกคือ เวิร์คฟอร์มโฮมใช้คนงานน้อยลง เพราะราคาถูก สองเรียนหนังสือที่บ้าน เช่นที่อเมริกาทุกวันนี้เขาไม่ได้ถามหาใบปริญญาเวลาไปสมัครงาน แต่จะถามหาประสบการณ์ ฉะนั้นต่อไปใบปริญญาจะสำคัญน้อยลง ที่เราๆแข่งกันเอาใบปริญญามาปิดฝาห้องเยอะๆ แต่ถามว่าได้อะไรไหมก็คงได้เป็นปริญญา หรือบางคนได้ความรู้ บางคนได้ตำราหนังสือ แต่มีบางคนได้ปริญญาได้ทาเลนมาซึ่งมันมีน้อย ดังนั้นเขาส่งเสริมให้ทำจริงและเรียนรู้จากประสบการณ์ดีดี และวิธีการเรียนก็จะเปลี่ยนไป อย่างที่สามช้อปฟอร์มโฮมนั้นก็จะมากขึ้น ต่อไปศูนย์การค้าใหญ่ๆก็จะเป็นที่เดินเล่น แต่ซื้อของออนไลน์แทน และช่วงต่อไปนั้นจะทำมาหากินยากขึ้นจะมีหลายประเทศเขาสร้างระบบป้องกันตัวเองแล้วเห็นแก่ตัวมากขึ้น

ข่าวจาก ข่าวสดออนไลน์, Dailynews Live-TH

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: