นายกฯ เผย ในหลวงพระราชทานกำลังใจ-ทรงชื่นชมทีมแพทย์ รับสั่ง มีสิ่งใดช่วยได้ขอให้บอก ขอโทษที่ตนติดนิสัยทหาร อาจทำให้ไม่สบายใจ





วันที่ 16 เม.ย. 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เดินทางไปที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ของคณะแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และติดตามการใช้งานระบบเอไอ (AI) ที่กระทรวงดีอีเอส ร่วมกับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี ประเทศไทย (จำกัด) นำไปติดตั้งเป็นอุปกรณ์ช่วยแพทย์พยาบาลวิเคราะห์การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เบื้องต้น โดยเก็บข้อมูลจากผลเอกซเรย์ปอดมีความเสี่ยงติดเชื้อหรือไม่ ใช้เวลาวิเคราะห์เพียง 25 วินาที โดยถูกนำไปใช้แล้วที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งในเมืองอู่ฮั่นและอีกหลายๆ เมือง ส่วนของไทยได้ติดตั้งแล้วที่โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช และเตรียมขยายต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ ด้วย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี พูดคุยสอบถามแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ในการปฏิบัติงานและให้กำลังใจทุกคนว่า ชื่นชมหมอทุกคน ตนเองคุ้นเคยกับที่นี่เพราะพ่อแม่ก็รักษาที่นี่ รวมถึงได้เคยมาอารักขาเมื่อครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ มาประทับที่นี่และในหลายๆ โอกาส ชื่นชมมาโดยตลอดและเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน ซึ่งสิ่งที่เราทำวันนี้ถือว่าทำถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระองค์ท่านทรงฝากกำลังใจมาถึงพวกเราทุกคน ชื่นชมในการทำงานที่มีความก้าวหน้าในทางที่ดีขึ้น ตนเองถวายรายงานพระองค์ท่านทุกวัน โดยส่งข้อสรุปทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข จากการแถลงศูนย์โควิด-19 ขึ้นไปทุกวัน พระองค์ท่านรับสั่งว่าหากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พระองค์ทรงช่วยได้ขอให้บอกมา

พล.อ.ประยุทธ์ ฝากด้วยว่า ความดีที่ท่านทำในวันนี้ไม่มีสูญหายไปไหน มันจะสนองตอบกลับพวกเรา อาจจะไม่ได้เป็นอย่างอื่น อาจจะได้เพียงแค่ความสุขใจ เพียงความภาคภูมิใจของตนเองและครอบครัว เหมือนกับการทำงาน เปรียบเหรียญมีสองด้าน เราอาจจะอยู่หน้าบ้างหลังบ้างของเหรียญเหรียญหนึ่งก็ไม่เห็นเป็นอะไร แต่ทุกคนรู้แก่ใจว่าตัวเองทำอะไร เพราะฉะนั้น เราต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ และเมื่อวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา ก็ได้บอกในที่ประชุม ครม. ว่า ปีที่ผ่านมาเราทำอะไรผิด เราทำอะไรไม่ดีบ้าง ก็ต้องกลับมาทบทวน และกลับมาแก้ไขใหม่ในปีต่อๆ ไป ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ไม่ต้องบอกใคร ทุกคนรู้ตัวของเรา

“ต้องขอโทษด้วยถ้ามีอะไรที่ทำให้พวกเราไม่สบายใจ ผมอาจจะติดนิสัยแบบนี้ แบบของผม คือเป็นทหารบ้างอะไรบ้าง บางทีพูดจาไม่ค่อยเข้าหูคนบ้างอะไรบ้าง ผมเข้ารายละเอียดมากเกินไป ซึ่งมันไม่เหมาะสมกับการที่จะมาพูด สงสัยความเป็นนักการเมืองยังไม่ค่อยได้ใช่ไหม คือผมอยากให้คนเข้าใจ แต่ก็กลายเป็นถูกบิดเบือนเลยไม่พูดดีกว่า พูดทีไรก็มีปัญหาทุกที เพราะว่าเขาต้องการจะสร้างประเด็นต่อๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งบางทีมันมีผลเสีย หลายอย่าง มันเกิดขึ้นได้อย่างไรในประเทศไทย สิ่งที่ไม่น่าจะเกิดมันก็เกิด ถ้าดูข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์แต่ละวันไม่น่าเกิดขึ้นในประเทศไทย บอก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ละเมิดอะไรต่างๆ ขโมย โกง ปลอม มันเกิดขึ้นได้อย่างไรในประเทศไทย ผมว่าสังคมมันเปลี่ยนไปเยอะ”

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวด้วยว่า เราก็ห่วงลูกหลานเรา ถ้าเหมือนในสมัยพวกเราเข้มแข็งด้วยตัวของเราเอง เพราะสภาพแวดล้อมไม่ได้เป็นแบบนี้ เราก็เลยเข้มแข็งเพียงพอที่จะต่อสู้ แต่วันนี้สังคมกลายเป็นว่าทุกคนเป็นห่วงลูก ลูกเลยถูกปกป้องไว้อย่างนี้ การที่จะต่อสู้เลยไม่มี ทำให้เขาพร้อมที่จะถูกไปโน่นไปนี่ได้ตลอด เราทุกคนอยากให้ลูกมีความสุข สมัยเราลำบากเราก็ไม่อยากให้ลูกลำบากแบบเรา ก็ดูแลทุกอย่างจนกระทั่งไม่เข้มแข็ง นั่นคือสิ่งที่อันตรายในวันหน้า อีกเรื่องคือเงินบริจาคที่ได้รับมา จะพิจารณาว่าเงินเหล่านี้จะมอบให้กรณีที่มีการสูญเสีย มอบให้พิเศษเพิ่มเติมจากงบของราชการปกติ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีได้พูดหยอกล้อว่า “เราสามารถคุยกันได้ในฐานะที่อยู่ในระดับบริหารด้วยกัน ซึ่งผมมองแบบนั้น และวันหน้าก็ฝากไว้ด้วย เผื่อคุณหมอคนไหนที่จะมาเป็นนายกฯ ซึ่งหมอหนูก็มีสิทธิ์ โอเคนะ อย่าพูดกันไปกันมา เพราะประเทศไทยพร้อมหาจำเลย” ตนและรัฐบาลยกย่องการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นหลักในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งต้องเสียสละ ทำงานหนัก และมีความเสี่ยงอย่างมาก ยินดีสนับสนุนทุกวิถีทาง เพื่อดูแลช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน เช่นล่าสุด ครม. ได้อนุมัติให้เงินพิเศษ ให้โควตา 2 ขั้น อายุราชการทวีคูณ จ่ายเงินบุคลากรที่ติดเชื้อ และทำประกันสุขภาพให้ 320,000 กรมธรรม์ เป็นต้น.

ข่าวจาก ไทยรัฐออนไลน์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: