คลังแจงแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสู้พิษโควิด ชี้ฮ่องกง-สิงคโปร์ก็ทำ ช่วยลดภาระประชาชน





5 มี.ค.63 นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอชุดมาตรการและและเยียวยาผลกระทบไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ชุดที่ 1 จะใช้เงินระดับหลายแสนล้านบาท เป็นชุดมาตรการใหญ่พอจะสร้างความเชื่อมั่น โดยมาตรการแจกเงินให้ประชาชนผ่านพร้อมเพย์ เป็นเพียงหนึ่งในมาตรการเท่านั้น จากมาตรการชุดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแล ลดภาระให้ผู้ประกอบการและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ที่เริ่มมีปัญหาขาดสภาพคล่องจากผลกระทบโควิด-19

“ขณะนี้สังคมสนใจเฉพาะว่ากระทรวงการคลังจะแจกเงินถึงแสนล้านบาท มันไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งจำเป็นคือต้องดูว่าใครได้รับผลกระทบในช่วงนี้มากที่สุด ต้องดูแลอย่างไร ตอนนี้ทุกอย่างยังเป็นเพียงข้อเสนอ คลังก็พิจารณาหลายๆ แนวทางที่เห็นควรว่าต้องดำเนินการเพื่อลดผลกระทบในช่วงนี้ การแจกเงินอาจจะเป็น 1 ใน 10 มาตรการที่คลังเตรียมเสนอ ส่วนจะทำหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ครม.เศรษฐกิจ และครม.ในสัปดาห์หน้า” นายลวรณ กล่าว

นายลวรณ กล่าวว่า การเติมเงินให้กับประชาชนผ่านพร้อมเพย์ จะมีประโยชน์อย่างมากในภาวะปัจจุบัน ที่ประชาชนมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งรายจ่ายจากหน้ากากอนามัย รายจ่ายค่ายา ค่าเดินทาง ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระไปได้ และยังเป็นการตอบโจทย์ ช่วยดูแลภาคธุรกิจ ให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจ ช่วยเพิ่มยอดซื้อสินค้า ซึ่งการจะแจกเงินให้กับประชาชนกลุ่มไหนบ้าง ก็ต้องตอบให้ได้ว่าเพราะอะไร และจะได้ประโยชน์อย่างไร

ทั้งนี้ มาตรการแจกเงินไม่ใช่ถือว่าเรื่องใหม่ ใช้ตำราเดียวกันทั่วโลก นักเศรษฐศาสตร์ก็มองเหมือนกันทั้งหมด ที่ผ่านมาก็มีหลายประเทศแจกเงินถึงมือประชาชน เช่น ฮ่องกง แจกเงินให้กับประชาชนรายละประมาณ 40,500 บาท สิงคโปร์แจกเงินระหว่าง 100-300 เหรียญหรือประมาณ 3,000-7,000 บาท ขึ้นอยู่กับระดับรายได้ จึงอยากให้ดูผลจากชุดมาตรการทั้งหมดที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน และภาคธุรกิจ เข้าใจว่ารัฐบาลเอาอยู่ สามารถดูแลเศรษฐกิจและผู้ที่ได้รับผลกระทบได้

สำหรับงบประมาณที่ใช้ในชุดมาตรการจะต้องมีการหารือในที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ กระทรวงการคลังจะเสนอชุดมาตรการ เพื่อให้สำนักงบประมาณพิจารณาดูว่า มีงบประมาณให้เพียงพอใช้ในมาตรการใดบ้าง ส่วนการจัดหาแหล่งเงินเพื่อมาใช้ยังมีช่องทางให้ดำเนินการได้ตามกฎหมาย ซึ่งวันนี้ไม่มีแรงกดดันเรื่องหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำแค่ 42% ยังมีช่องให้ทำมาตรการได้อีกมาก แต่ก็ต้องใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

กรณีที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 0.5% เป็นการประเมินจากวันนี้ถ้ารัฐบาลยังไม่มีการทำอะไรเลย แต่ถ้าได้เห็นว่ารัฐบาลเตรียมออกมาตรการชุดใหม่ออกมา ก็จะต้องมีการปรับตัวเลขคาดการณ์ใหม่

ข่าวจาก ข่าวสดออนไลน์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: