ในหลวงทรงมีพระบรมราโชบาย ให้ติดตั้งเครื่องบำบัดอากาศต้นแบบใน กทม.





“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ทรงเป็นห่วงประชาชนในเรื่องมลพิษทางอากาศฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีพระบรมราโชบายให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินการจัดสร้างเครื่องบำบัดอากาศที่มีมลพิษและฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ต้นแบบ จำนวน 4 เครื่อง ให้ติดตั้งในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร

ตามที่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้น้อมนำพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการบรรเทาทุกข์เรื่องปัญหาในเรื่องมลพิษทางอากาศ อันเนื่องมาจากฝุ่นที่มีขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง โดยได้ดำเนินการจัดสร้างเครื่องบำบัดอากาศที่มีมลพิษและฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ต้นแบบ จำนวน 4 เครื่อง และได้ตรวจสอบการสาธิตการทดสอบเครื่องบำบัดอากาศที่มีมลพิษและฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ไปแล้วเมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ณ บริเวณหน้าอาคารสำนักงานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ โดยมีนายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ในฐานะนายกมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ พล.ร.อ.พงษ์เทพ หนูเทพ องคมนตรี ประธานกรรมการบริหาร มูลนิธิฯ พ.อ.ประเสริฐ โชติช่วง ผู้ควบคุมการสาธิต และมีคณะกรมอู่ทหารเรือ กองทัพเรือ เป็นคณะร่วมปฏิบัติการครั้งนี้

ล่าสุด เมื่อค่ำวันที่ 22 ม.ค. เวลา 21.00 น. น.อ.สมศักดิ์ คงโชติ รอง.ผอ.อธบ.อร. นำเจ้าหน้าที่จาก อธบ.อร.จำนวน 35 นาย ร่วมกับ ขส.ทร. และกรม สห.ทร. ดำเนินการเคลื่อนย้ายเครื่องบำบัดฝุ่น PM 2.5 จำนวน 4 เครื่องจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ มาติดตั้งที่อนุสาวรีชัยสมรภูมิ โดยมี น.ส.รุจิรา อารินทร์ ผู้อำนวยการเขตราชเทวี พร้อมเจ้าหน้าที่จาก กทม.ให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวก

โดยเครื่องบำบัดอากาศที่มีมลพิษและฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ต้นแบบ เป็นระบบบำบัดอากาศแบบเปียก อากาศจะถูกดูดเข้ามาในเครื่องบำบัดด้วยพัดลมดูดอากาศ ผ่านเข้ามาจะถูกทำให้เกิดการอัดตัวโดยผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า “เวนทูรีสครับเบอร์” โดยใช้นำ้เป็นตัวกลางในการดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ติดมากับมวลอากาศ ซึ่งรูปแบบการใช้น้ำ ออกแบบไว้ 2 รูปแบบ คือ 1. แบบเป็นฟิล์มไหลเคลือบผิวท่อเวนทูรี ซึ่งน้ำส่วนนี้จะถูกอากาศที่อัดเข้ามาด้วย ความเร็วและแรงดันสูงทำให้ฟิล์มน้ำกลายเป็นละอองฝอยขนาดเล็ก และ 2. แบบพ่นเป็นละอองฝอย ละอองฝอยน้ำทั้งหมดจะทำหน้าที่ดักจับโดยการสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 ที่ปนเปื้อนอยู่ในเนื้ออากาศให้เข้ามาอยู่ในเนื้อละอองน้ำแทน

กระบวนการนี้เรียกว่า “การสครับ” จากนั้นทั้งอากาศและละอองน้ำจะถูกบังคับให้ไหลลงไปด้านล่างยังถังน้ำหมุนวน ที่ 1 ซึ่งละอองน้ำส่วนใหญ่จะเกิดการควบแน่นและถูกจัดเก็บอยู่ในถังน้ำมวลอากาศทั้งหมดและละอองน้ำบางส่วน ที่ยังไม่ควบแน่นจะไหลต่อไปยังถังดักจับละอองน้ำ โดยอุปกรณ์ที่เรียกว่า “demist vane” ซึ่งละอองน้ำจะควบแน่นและไหลไปรวมตัวกันที่ในถังในส่วนที่เรียกว่า “ถังน้ำหมุนวนที่ 2” อากาศที่ผ่านการบำบัดแล้วทั้งหมดจะไหลออกกลับคืนสู่ด้านนอกทางปล่องปล่อยออก โดยออกแบบเป็นรูปตัวที (T) ที่มีฝาปิด-เปิดเพื่อให้สามารถเลือกรูปแบบการปล่อยออกแบบทิศทางเดียว หรือสองทิศทางได้ และฝาปิด-เปิดสามารถปรับระดับองศาการปิด-เปิดได้เพื่อให้สามารถกำหนดมุมองศาการปล่อยอากาศที่บำบัดแล้วออกไปยังจุดพื้นที่และระดับความสูงที่ต้องการได้

เครื่องที่จัดสร้างขึ้นมีขีดความสามารถบำบัดอากาศที่ระดับชั้น 3 เมตรได้ เท่ากับ 0.086 ตารางกิโลเมตร ต่อ 12 ชั่วโมง ถ้าอากาศที่จะบำบัดมีค่าความเข้มข้น PM 2.5 เท่ากับ 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกๆ 1 วินาที เครื่องจะปล่อยอากาศที่บำบัดแล้ว ได้ 2 ลูกบาศก์เมตร ที่ค่าความเข้มข้น PM 2.5 เท่ากับ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (คิดประสิทธิภาพการบำบัดที่ 85%) ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐานอนามัยโลกที่กำหนดระดับดีมากไว้ที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ เมื่อนาอากาศที่บำบัดแล้วนี้ปล่อยไปยังอากาศที่ยังไม่ได้บำบัด จะได้ว่าอากาศที่ยังไม่ได้บำบัดจะถูกอากาศที่บาบัดแล้วไปเจือจางความเข้มข้นของอากาศที่ยังไม่ได้บำบัดลดลงจาก 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เหลืออยู่ที่ 57.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ดังนั้น ในการดูดอากาศเข้าบำบัดหนึ่งครั้ง อากาศจะได้รับการบำบัดสองส่วน คือ อากาศที่ได้รับการบำบัดจากเครื่องและอากาศที่ได้รับการบำบัดจากการเจือจาง ทำให้ทุกวินาทีอากาศได้รับการบำบัดเป็น 4 ลูกบาศก์เมตร

สำหรับพื้นที่เปิดขนาดใหญ่ โมเดลได้กำหนดรูปแบบการบำบัดอากาศโดยตีเส้นกริดโซน หนึ่งหน่วยกริดโซนจะใช้เครื่องบำบัด 4 เครื่อง ตั้งจุดบำบัดที่มุมทั้งสี่ของตารางกริด ขนาดหน่วยตารางกริดสามารถกำหนดได้ตามวัตถุประสงค์ เช่น 1 ตารางกิโลเมตรต่อหนึ่งตารางกริด 4 เครื่อง จะบำบัดอากาศได้ 0.7 ตารางกิโลเมตร ในเวลาปฏิบัติงาน 12 ชั่วโมงต่อวัน

ทั้งนี้ โมเดลการบำบัดที่คิดขึ้นได้ พัฒนารูปแบบทิศทางและจุดของการดูดอากาศที่จะบำบัดและการปล่อยอากาศที่บำบัดแล้วให้เหมาะสมกับสภาวะเงื่อนไขทางกายภาพของพื้นที่ที่จะบำบัด เช่น พื้นที่ในเมือง เขตโรงพยาบาล โรงเรียน สนามบิน พื้นที่แอ่งกระทะมีภูเขาล้อมรอบ เป็นต้น การเลือกกำหนดรูปแบบการดูดและปล่อยออกนี้สามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพการบำบัดได้อย่างมาก เครื่องขนาดเล็กแต่เมื่อนำหลักการของโมเดลไปประยุกต์ใช้จะทำให้สามารถบำบัดอากาศได้ในพื้นที่เปิดที่มีเงื่อนไขทางภาพที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี

ข่าวจาก แนวหน้าออนไลน์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: