“ครูเงาะ”เปิดใจ คลิปดราม่า “อย่าบ่นประเทศไทย” ชี้พูดเทียบพระนเรศวร เป็นแค่มุกขำๆ





ครูเงาะ รสสุคนธ์ กองเกตุ แจงที่มาที่ไป ตั้งใจให้คนลุกขึ้นมาจัดการกับปัญหา ไม่ใช่แค่ก่นด่าประเทศ ยอมรับกระทบจิตใจ แต่เป็นห่วงเยาวชนที่เชื่อเนื้อหาจากคลิปเพียงแค่ 14 วินาทีมากกว่า

กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารย์ในโซเชียล หลังมีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งได้โพสต์คลิป ครูเงาะ ขณะที่ไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เป็นคลิปสั้นๆ เวลา 14 วินาที ใช้แคปชั่นว่า “ก็ประเทศไทยมัน***ไงคะ จบ”  โดยในคลิปมีเนื้อหาคำพูดของครูเงาะความว่า

“กูหละเบื่อจริงๆ ประเทศไทย ฝนก็ตก รถก็ติด พระนเรศวรกลอกตาเลยนะคะ กูอุตส่าห์กู้ชาติบ้านเมืองยุทธหัตถีมาให้มึง แค่รถติดมึงด่าประเทศชาติเลยนะคะ

 

 

หลังคลิปวีดีโอดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป มีคนรีทวิตคลิปนี้กว่า 44,000 คน และแสดงความไม่เห็นด้วย จากเนื้อหาที่ครูเงาะได้บรรยยาย ที่ได้กล่าวยกตัวอย่างไปถึงพระนเรศวรฯ ที่กู้ชาติมา ซึ่งมองว่าไม่น่าจะจับมาเชื่อมโยงกับปัญหาฝนตก รถติดในปัจจุบันได้ และยังมองว่าประชาชนชาวไทยไม่มีสิทธิ์บ่นหรือสะท้อนปัญหาเรื่องพวกนี้เลยหรือ เพราะนี่คือเรื่องพื้นฐานที่รัฐบาลต้องปรับปรุงและแก้ไข

ล่าสุด ทีมข่าว Workpoint News ได้ติดต่อสัมภาษณ์ไปยัง ครูเงาะ และผู้ที่เผยแพร่คลิปดังกล่าว ซึ่งเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่อยู่ในห้องบรรยายและได้ถ่ายคลิปไว้ในขณะนั้น  รวมไปถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่ได้เชิญครูเงาะไปบรรยายให้กับนักศึกษาในวันนั้น

น้องนักศึกษาเผยว่าแท้จริงแล้ว ตนได้โพสต์คลิปนี้ในแอพพลิเคชั่น TikTok มีผู้ชมจำนวนมากเขามาดูในระยะเวลาอันรวดเร็ว และมีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งได้นำคลิปไปเผยแพร่ต่อ ในวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยในภายหลังตนได้ลบคลิปออกไปแล้ว หลังมีคนออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงลบจำนวนมาก เกรงว่าจะส่งผลเสียต่อครูเงาะ เพราะตนไม่ได้มีเจตนาให้เป็นแบบนั้นแต่อย่างใด เจตนาที่โพสต์คลิปนี้ คืออยากชื่นชมในตัวครูเงาะ และมองว่าเป็นเพียงมุกตลก ที่ครูใช้ในการประกอบการบรรยายเท่านี้

โดยการบรรยายดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจารย์มหาวิทยาลัยเผยว่า เชิญครูเงาะไปบรรยาย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ นักศึกษาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพื่อให้สนใจในการเรียนและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนจนสามารถจบการศึกษาได้ตามเป้าหมาย คือวัตถุประสงค์หลักของอาจารย์ที่เชิญครูเงาะไปบรรยายในครั้งนี้

ครูเงาะเล่าถึงที่มาของประโยคที่ถูกตัดออกมาในระยะเวลาสั้นๆ ดังกล่าวว่า หลังทราบจุดประสงค์ของมหาวิทยาลัยที่เชิญไปบรรยายครูเงาะมองว่า สิ่งสำคัญของเด็กในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อคือเรื่องของ Mindset ส่วนประเด็นที่เป็นต้นตอนำไปสู่ประโยคดังกล่าว ครูเงาะได้ให้คำแนะนำกับนักศึกษาถึงการใช้ภาษาที่เป็นบวกกับชีวิต และพยายามอธิบายว่า ทันทีที่เราพูดภาษาลบ มันคือการทำลายตัวเอง เวลาที่เราด่าใคร อาจทำให้ชีวิตของเรานั้นเป็นลบตาม นี่คือไอเดียที่อยากจะนำเสนอ

จากนั้นครูเงาะได้ยกตัวอย่างว่า ทุกอย่างบนโลกนี้ เราอย่าไปบ่น โดยมองว่าหน้าที่ของเราคือการแก้ไข ยอมรับ ปรับเปลี่ยน นี่คือแนวทางของคนที่จะมีชีวิตที่ดี สมมุติว่าวันนี้เราจะออกไปกินข้าว แต่ฝนตก รถติด ถ้าเราบ่นฝนหายตกไหม รถหายติดไหม บางคนพาลไปด่าประเทศชาติด้วย “กูหละเบื่อจริงๆ ประเทศไทย ฝนก็ตก รถก็ติด” แล้วเราก็ปล่อยเป็นมุกไปว่า “พระนเรศวรกลอกตาเลยนะคะ กูอุตส่าห์กู้ชาติบ้านเมืองยุทธหัตถีมาให้มึง แค่รถติดมึงด่าประเทศชาติเลยนะคะ”

เราก็ไม่ต้องด่าสิคะเราก็แค่เดินออกมา ถ้าคนที่อยากประสบความสำเร็จเขาจะคิดแก้ปัญหากับสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าต้องทำยังไงถึงจะได้กินข้าว คนพวกนี้จะมีความก้าวหน้า เพราะเขาเห็นช่องทางแก้ปัญหา และพยายามพูดโยงไปให้เด็กเห็นคุณค่าของประเทศชาติว่าทุกประเทศมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เมื่อประเทศเรามีข้อเสีย เรามีหน้าที่ยอมรับและแก้ไข ไม่ใช่ก่นด่าประเทศ

ทำไมคนถึงไม่เห็นด้วย ในประโยคดังกล่าวในมุมมองของครูเงาะ?   

“ครูว่ามันอาจจะเป็นเพราะทีท่าด้วยนะ อันนี้ครูก็เข้าใจประชาชน ครูเข้าใจนะเพราะมันเห็นแค่ 14  วินาที ซึ่งตอนนั้น ด้วยความที่เราเป็นนักเล่าเรื่องก็จะออกอรรถรส เสียงในตอนนั้นมันดูเป็นเสียงที่ดูเป็นลบ พอมันออกไปในลักษณะนั้นคนก็เลยจะเข้าใจว่า ครูกำลังพูดว่าอย่าบ่นประเทศ พอคนเข้าใจในลักษณะนี้ คนก็จะคิดถึงว่า เรามีสิทธิที่จะบ่นนะ เราก็เสียภาษีเหมือนกัน ซึ่งครูก็เคยบ่น ไม่ใช่ไม่บ่นเลย แต่ถ้าบ่นแล้วมันไม่มีอะไรดีขึ้นก็ไม่รู้จะทำไปทำไม เราผ่านรถติดกันมากี่รัฐบาลแล้ว เราก็บ่นเรื่องเดิม แต่ถ้าเราจะทำให้มันเกิดประโยชน์ ก็เสนอไปสิ เช่น ตรงนี้น้ำท่วม ตรงนี้ถนนไม่ดี ส่งไปที่รัฐบาลใครมีส่วนที่จะช่วยเหลือก็เข้ามาช่วยเหลือตรงนี้ ครูบอกบ่นได้แต่อย่าด่าถึงประเทศชาติได้ไหม”

ประโยคที่กล่าวอ้างถึงพระนเรศวรฯ

คำว่าพระนเรศวรฯ เป็นตัวแทนของคำว่าบรรพบุรุษสำหรับครูนะ ในตอนนั้นเหมือนเป็นมุกให้เด็กขำเขาก็ขำ แต่ถ้าคนมาฟังตอนนี้ก็อาจจะงงว่าขำตรงไหน แต่ถ้าฟังทั้งบริบทมันก็จะเห็นอยู่ พระนเรศวรฯ เป็นตัวแทนของปู่ย่าตายาย ที่ดูแลรักษาที่ทำมาหากินส่งมอบมาจนถึงเราถ้าเราไม่รักในบรรพบุรุษของเรา ไม่รักในความเป็นชาติมันก็อยู่ยาก และหลายคนก็อาจจะตีความไปอีกว่าครูใช้พระนเรศวรมาเอาฮา แต่จริงๆ มันเป็นโจ๊กและจังหวะที่ไปได้ในตอนนั้น กว่าจะกู้ชาติมาได้ แค่ฝนตกรถติดไม่ต้องด่ากันหรอก เห็นบางคนเขียนว่า ก็ประเทศมันเหี้ยอย่างนี้ ครูนึกในใจว่า ตายแล้วลูกเอ้ย แล้วหนูจะอยู่อย่างมีความสุขได้อย่างไร”

กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อจิตใจไหม?

“เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้กระทบมากแต่ถ้าจะบอกว่าไม่กระทบเลยไม่ได้ มันก็ต้องทำให้ครูเอามานั่งดูว่า มันต้องยังไง มันซีเรียสแค่ไหน ถ้ามันซีเรียสมาก เราก็ต้องออกมาพูดหรือเปล่า มันไม่ได้กระทบในเชิงจิตใจหรืออะไรนะ เพราะว่าก่อนหน้านี้ครูก็เคยโดนเข้าใจผิดในเรื่องการเมืองมาก่อน เคยมีคนเข้ามาด่าในเพจ ครูก็อธิบายไปเขาก็เข้าใจ คือบางทีอะไรที่มันออกไปนิดเดียว แล้วไม่ได้ทำความเข้าใจ คือทุกคนก็จะตีความตามทัศนคติของตัวเอง คือครูสอนเรื่องนี้มาอยู่ว่า ถ้าสิ่งที่เราทำอยู่ในเจตนาที่ถูกต้องใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเรา มันเป็นปัญหาของเขา ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับครูมากมาย แต่แค่ครูรู้สึกเป็นห่วงเยาวชน เป็นห่วงประเทศชาติว่า เฮ้ย 14 วิ เราอาจจะต้องเอะใจกับมันไหม เรายังไม่ได้ฟังบริบทเลย”

น้องนักศึกษาที่เผยแพร่คิดต้นเรื่องยังเปิดใจต่อว่าหลังโพสต์คลิปนี้ออกไปพอมีคนเข้ามาดูเยอะรู้สึกตกใจมาก ในตอนแรกไม่คิดว่าจะมีผลในกระทบในแง่ลบกับครูเงาะ ความคิดในตอนนั้น คิดว่าทำไมมีคนรักครูเงาะเยอะจัง แต่พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จึงเป็นบทเรียนสำคัญกับตนว่า ก่อนจะโพสต์อะไรต้องคิดและไตร่ตรองให้ดีก่อน พร้อมกับขอโทษครูเงาะ ทางด้านครูเงาะเอง ไม่ได้ติดใจอะไร ไม่รู้จะให้อภัยยังไงเพราะมองว่าน้องไม่ได้ผิด และไม่อยากให้น้องต้องกลายเป็นคนที่เสียความมั่นใจและเกิดความกลัว พร้อมให้คำแนะนำว่า เราสามารถแสดงออกในสิ่งที่เราคิดว่ามันถูกต้องได้ ทำในสิ่งที่เราเห็นว่าดีได้

ครูเงาะกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า  “ตอนนี้ครูมองว่าการปล่อยข่าว หรือ Fake News มันเยอะมากเหลือเกิน ลองคิดดูนะว่า ถ้าคนที่เจอเรื่องนี้ไม่ใช่ครู ที่ทำงานเรื่องนี้กับตัวเองมา เขาก็อาจจะโกรธ ถ้าเกิดใครโดนในลักษณะนี้แบบครู ทำใจสบายๆ อย่าเอามาเป็นเรื่องส่วนตัวจนเครียด บางทีดารานักแสดงหลายคนโดน บางคนโดนหนักกว่าครูอีก บางทีคนเรามันด่ากันได้โดยที่ไม่รู้จักกัน แต่ก่อนเราถูกนินทา ก็แค่เพื่อนในห้อง เพื่อนที่ทำงาน ข้างบ้าน แต่เดี๋ยวนี้เราสามารถถูกใครก็ไม่รู้ ที่ไม่รู้จักกับเรา นินทาว่าร้ายเรา เขาก็พูดตามความเห็นของเขา ตามประสบการณ์ความรู้ของเขาเท่านั้น ใครที่โดนลักษณะนี้ ใครถูกโซเชียลบูลลี่ ก็ทำใจให้สบาย เขาไม่ได้พูดถึงเรา เขาพูดถึงความเห็นผิดของเขา แยกแยะตรงนี้ แล้วเราจะได้ใช้ชีวิตสบายๆ”

ข่าวจาก workpointnews

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: