“พระมหาไพรวัลย์” เปิดพระไตรปิฎก แจงสังคม เรื่องกินฉี่เพื่อรักษาโรค





เรื่องราวชักไปกันใหญ่ “พระมหาไพรวัลย์” ออกโรงโพสต์ชี้แจง อธิบายข้อความในพระไตรปิฎกให้สังคมได้รู้ ยืนยัน “พระพุทธเจ้า” ไม่เคยสอนให้มนุษย์กินฉี่ตัวเอง

จากกรณีที่มีการแอบอ้างความเชื่อทางศาสนา ที่ระบุว่า “ปูติมุตตเภสัช” ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าได้สอนให้มนุษย์กินปัสสาวะตัวเอง เพื่อเป็นยารักษาโรค ล่าสุดปรากฏว่า พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ พระนักคิดนักเขียน วัดสร้อยทอง ได้ออกมาโพสต์ถึงประเด็นดังกล่าวผ่านทางเฟซบุ๊ก พร้อมกับอธิบายถึง “ปูติมุตตเภสัช” ที่มีการแอบอ้างจากพระไตรปิฎก ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจกันผิดเพี้ยนกันไปมาก

“อาตมาพยายามจะสืบค้นดูเกี่ยวกับเรื่องที่อ้างถึงกันนี้ ก็ได้เจอข้อความอธิบายในคัมภีร์ที่ตรงกันหลายแห่งว่า มูตร ที่ปรากฎอยู่ในคำว่า ปูติมุตตเภสัช ท่านประสงค์ถึง ฉี่โค เยี่ยวโค ไม่มีส่วนไหนที่ระบุถึงฉี่ของมนุษย์สักที่เดียว

มีข้อความที่สอดคล้องกันอีก คือในมติของโบราณจารย์ ท่านกล่าวว่า ปูติมุตตเภสัช หมายถึงชิ้นสมอที่ดองด้วยน้ำฉี่โค หรือในอีกความหมายหนึ่งที่เราหลายคนอาจไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ท่านบอกว่า ปูติมุตตเภสัช หมายรวมถึง ยาที่ชาวบ้านเขาทิ้งแล้ว ไม่มีเจ้าของ

มีคนอ้างถึงมหาธรรมสมาทานสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องการดื่มน้ำมูตรเน่า อาตมาก็เลยตามไปอ่านดู แม้ในมหาธรรมสมาทานสูตรจะพูดถึงน้ำมูตรเน่าก็จริงอยู่ แต่น้ำมูตรที่ปรากฏอยู่ในมหาธรรมสมาทานสูตร คือน้ำมูตรที่ผสมด้วยตัวยาสำหรับรักษาโรคต่างๆ แล้ว และคนป่วยที่อ้างถึงในการดื่มน้ำมูตรเน่าผสมยานี้ คือคนที่เป็นโรคผอมเหลืองเท่านั้น ที่สำคัญ มหาธรรมสมาทานสูตร เป็นเรื่องของการเปรียบเทียบผลของการปฏิบัติธรรมมากกว่าจะพูดเรื่องสรรพคุณของยารักษาโรค

ทั้งหมดทั้งมวลจากข้อมูลที่ได้พบ อาตมาเห็นว่าตามคำอธิบายและความหมายที่แท้จริงแล้ว น้ำมูตร เป็นฉี่โค ไม่ได้มีสรรพคุณในการรักษาโรคด้วยตัวของมันเอง แต่มันสามารถใช้เป็นส่วนในการประกอบเภสัชบางอย่างได้ เช่น เป็นส่วนสำหรับดองผลไม้บางชนิด ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงผลเภสัช คือ ผลไม้ที่ใช้เป็นยาได้ เช่น สมอไทย หรือมะขามป้อม เป็นต้น และผลไม้บางอย่าง เพื่อที่จะให้เก็บไว้ได้นาน คนโบราณมักจะใช้วิธีการดอง นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

ทีนี้มีอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ เรื่องว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงอนุญาตปูติมุตตเภสัชนี้สำหรับภิกษุ ในพระบาลี มีข้อความว่า อุตสาโห กรณีโย คือถ้ามีความอุตสาหะ ก็ควรทำ ควรใช้ยาที่ได้จากการดองด้วยน้ำมูตรเน่า (เพื่อรักษาอาการอาพาธเล็กน้อยบางอย่างที่ถูกกันกับยานี้) แต่ไม่บังคับเลยว่า ทุกรูปต้องฉันยาดองนี้

ในสันตุฎฐิสูตร พระพุทธเจ้าให้เหตุผลว่า ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่านี้ เป็นของมีค่าน้อย และหาได้หาได้ง่าย จึงเกื้อกูลแก่คุณความเป็นสมณะของภิกษุ (อยู่ง่าย ฉันง่าย ไม่ต้องรบกวนชาวบ้านด้วยเภสัช ๕) นี่คือจุดประสงค์ประการหนึ่งนะ

ความหมายก็คือ ถ้ามันไม่ทีทางเลือกอื่น ในที่ที่ภิกษุอาศัยอยู่ อาจจะห่างไกลจากชุมชนหมู่บ้าน ไม่มียาอื่นที่จะขอจากคฤหัสถ์ได้ ไม่มีหมอที่จะทำการรักษาโรค ปูติมุตตเภสัชก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ภิกษุสามารถใช้เพื่อบรรเทาอาการได้ (แต่เฉพาะกับบางโรคเท่านั้นนะ เช่น ปวดเมื่อย ปวดท้อง ท้องอืด เป็นต้น)

อีกอย่างหนึ่ง ในข้อวินัยสำหรับภิกษุ ถ้าเป็นเภสัชอื่น เช่น เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้เก็บไว้นาน เป็นอาบัติ แต่ผลไม้อย่างมะขามป้อม หรือสมอ ที่ผ่านการดองด้วยน้ำมูตรเน่าแล้ว เก็บไว้กี่วันก็ได้ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ปูติมุตตเภสัช เป็นของควรแก่ภิกษุในภาวะฉุกเฉินจำเป็น

ยาที่พูดถึงในสมัยพุทธกาลมีเยอะมาก ไม่ได้มีแค่ปูติมุตตเภสัช เช่น ปัณณเภสัช (ยาที่ทำจากใบไม้) มูลเภสัช (ยาที่ทำจากราก) ชตุเภสัช (ยาที่ทำจากยาง) และพระพุทธเจ้าเองแม้ยามที่ทรงอาพาธ ก็ยังทรงต้องอาศัยหมอ เพื่อรักษาตามอาการ ยังต้องมีการผ่าตัด ดมยา อย่างนี้เป็นต้น

ยาดองน้ำมูตรเน่าไม่ใช่ยาวิเศษ ที่จะใช้รักษาได้ทุกโรคนะ อาตมาเห็นบางคนเอาฉี่ตัวเองมาล้างหน้าล้างตาแล้วก็ดูพิลึกดี อาตมานึกถึงน้ำมันกัญชาเลย คนเอามาใช้กันมั่วซั่วตามใจชอบ สุดท้ายต้องหามส่งโรงพยาบาลกันแทบไม่ทัน

อาตมาอยากขอให้เข้าใจกันให้ถูกตามนี้ อย่าไปกล่าวตู่พระพุทธเจ้า คือใครอยากจะกินน้ำฉี่ก็กินไป แต่อย่าอ้างว่า พระพุทธเจ้าก็กิน หรือพระพุทธเจ้ายังให้พระกินเลย อันนี้ไม่ถูกต้อง ยิ่งอ้างสรรพคุณร้อยแปด ยิ่งมองว่าฉี่เป็นยาวิเศษ อาตมาว่าจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี น่าเศร้ามาก ที่ทราบว่า เพราะเชื่อเช่นนี้ อาจารย์ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งจึงหลอกให้เด็กนักเรียนกินน้ำฉี่ของตนเอง (แถมอ้างว่าเป็นน้ำมนต์อีก)”

ทั้งนี้ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ได้ก้าวหน้าไปมาก ยังนึกไม่ออกว่ายังมีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องกินฉี่ตัวเองเพื่อรักษาโรคอยู่อีก ทั้งที่เราเองก็ไม่เกิดอยู่ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีต่างๆ ล้าสมัยอีกแล้ว ก่อนจะมีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก

 

 

ขอบคุณที่มาจากเฟสบุ๊ค พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: