ลุงสมัครงานแต่โดนHRดูถูก แถมไล่กลับบ้าน งานนี้ลูกสาวจึงออกโรงมอบบทเรียนให้ ทำเอาสำนักงานใหญ่ขอโทษแทบไม่ทัน!!





 

           สาวโพสต์แฉ พ่อถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลปฏิเสธจ้างงาน แถมเหยียดหยาม เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ กลายเป็นกระแสวิจารณ์หนัก สุดท้ายบริษัทออกมาขอโทษ และไล่เจ้าหน้าที่ออกแล้ว 

           เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่กำลังมองหางานทำ หรือมีงานทำอยู่แล้ว น่าจะเคยมีประสบการณ์ส่งใบสมัครงานไปตามบริษัทต่าง ๆ แล้วโดนปฏิเสธ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติมาก เนื่องจากคุณสมบัติของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป นโยบายการรับคนเข้าทำงานของแต่ละที่ก็แตกต่างกันเช่นกัน เมื่อบริษัทจะติดต่อคนเข้าสัมภาษณ์ ก็จะมีการระบุว่าต้องเตรียมเอกสารอะไรมาบ้าง หรือต้องเตรียมตัวอย่างไร บางคนที่มาสมัครแล้วแต่ไม่ผ่าน ก็จะได้รับจดหมายตอบกลับจากฝ่ายบุคคลเป็นกรณี ๆ ไป ส่วนใหญ่แล้ว จดหมายลักษณะนี้จะมีการใช้คำที่สุภาพ แสดงถึงความเป็นมืออาชีพ แต่บางครั้งมันก็มีเนื้อหาที่บั่นทอนจิตใจ และอาจเลวร้ายถึงขั้นแสดงถึงความดูถูกเหยียดหยามและการเลือกปฏิบัติ ดังเช่นจดหมายที่พ่อของหญิงสาวชาวเมริกันเชื้อสายเวียดนามคนหนึ่งได้รับ ซึ่งเธอไม่ยอมอยู่เฉย ๆ ต้องออกมาทวงความยุติธรรม เพื่อให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลผู้นั้นได้รับบทเรียน 

 

 

           โดยจากการรายงานของเว็บไซต์บอร์แพนด้า เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 ระบุว่า พ่อของหญิงสาวคนดังกล่าวมีชื่อว่า มินห์ หวี่ง เป็นชาวเวียดนามที่ลี้ภัยมาอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา และอยากหางานทำ ด้วยความที่เขาสื่อสารภาษาอังกฤษได้ไม่ดีเท่าไรนัก ทำให้หางานค่อนข้างยาก มินห์ได้ส่งใบสมัครงานไปที่บริษัทแห่งหนึ่ง และก็ได้รับอีเมลตอบกลับจาก บรูซ ปีเตอร์สัน ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ซึ่งเมื่อเอมิลี่ ลูกสาวของเขา ได้อ่านมัน เธอก็ต้องตกใจมาก เพราะมันมีเนื้อหาที่ใจร้ายมาก ประมาณว่าถ้าพ่อของเธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็กลับบ้านไปเสียดีกว่า 

 

อีเมลตอบกลับจากบริษัท ซึ่งเอมิลี่อ่านแล้วรู้สึกแย่มาก


           "คนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ มันเป็นอะไรที่ลำบาก พ่อของฉันเพิ่งไปสมัครงาน และได้รับอีเมลตอบกลับมาว่า 'จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะ ถ้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ผมจะส่งคุณกลับบ้าน' แบบนี้ก็ได้เหรอ" เอมิลี่ ลูกสาวของมินห์ โพสต์เล่าถึงประสบการณ์แย่ ๆ ที่พ่อของเธอได้รับ ลงบนทวิตเตอร์ของเธอ

           เอมิลี่ เปิดเผยว่า ข้อความในอีเมลฉบับนั้นไม่ได้ทำให้พ่อของเธอรู้สึกแย่มากนัก แต่มันก็เป็นเรื่องใหญ่ และมันคือปัญหาที่เหล่าชาวเอเชียผู้อพยพมาตั้งรกรากในสหรัฐฯ ต้องพบเจออยู่ตลอดเวลา แต่ผู้คนมากมายไม่ใส่ใจ ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และไม่ได้ใส่ใจว่ามันเป็นการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งมันทำให้เอมิลี่รู้สึกรังเกียจ 

           "ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้รู้สึกแย่กับข้อความในอีเมลมากนัก แต่เขาก็รู้สึกไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาถึงถูกปฏิเสธงานแค่เพราะสื่อสารภาษาอังกฤษได้ไม่ค่อยเก่ง ทั้ง ๆ ที่เขามีประสบการณ์การทำงานมากมาย สำหรับฉัน ฉันเข้าใจดีว่าบริษัทอยากได้คนที่ได้ภาษา แต่ฝ่ายบุคคลเขียนอีเมลตอบกลับมาได้แย่มาก ไม่มีความเป็นมืออาชีพ และแสดงถึงการดูถูกคน" เอมิลี่ กล่าว 

 

 

 

           หลังจากทวีตของเอมิลี่ถูกเผยแพร่ออกไป มันก็ได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา ชาวเน็ตจำนวนมากต่างก็รู้สึกไม่พอใจฝ่ายบุคคลของบริษัทนั้น หนึ่งในนั้นคือสาวคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในสำนักงานกฎหมาย เธอทวีตข้อความหาเอมิลี่ว่า เธอได้พูดคุยกับทนายผู้เชี่ยวชาญด้านเคสการเลือกปฏิบัติในที่ทำงานแล้ว เธอได้ส่งเรื่องร้องเรียนไปยังสำนักงานใหญ่ของบริษัทดังกล่าวและพวกเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เธอยังกล่าวอีกว่า ถ้าหากพ่อของเอมิลี่ต้องการฟ้องร้องหรือดำเนินการทางกฎหมายแล้วละก็ ให้ติดต่อเธอมาทันที เพราะทนายยินดีว่าความให้แบบฟรี ๆ 

           และไม่นานหลังจากที่สำนักงานใหญ่ได้รับเรื่องร้องเรียน พวกเขาก็ส่งอีเมลมาหาเอมิลี่ เพื่อชี้แจงถึงนโยบายของบริษัท พร้อมกับแสดงความขอโทษ และแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลรายนั้นได้ถูกไล่ออกจากงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

 

สำนักงานใหญ่ส่งจดหมายมาขอโทษเอมิลี่และพ่อ พร้อมกับแจ้งว่าได้ไล่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลรายนั้นออกแล้ว

 

           "ในฐานะนายจ้างของนายปีเตอร์สัน ทางเราต้องขออภัยอย่างสุดซึ้ง สำหรับจดหมายที่เขาส่งไปหาคุณ เนื้อหาในจดหมายฉบับนั้นคือสิ่งที่ไม่เหมาะสม และขัดต่อนโยบายของเรา บริษัทของเรามีนโยบายการจ้างงานที่เปิดกว้าง เท่าเทียม และหลากหลาย สำหรับตำแหน่งที่คุณสมัครเข้ามานั้น พนักงานส่วนใหญ่ของแผนกนี้มาจากหลากหลายเชื้อชาติและหลากหลายวัฒนธรรม ภาษาอังกฤษจึงไม่ใช่ภาษาแม่ของพวกเขา แต่การสื่อสารภาษาอังกฤษได้ก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญต่อการทำงาน"

           "การตอบกลับของปีเตอร์สันนั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทางเราได้ทำการสอบสวนแล้ว และในขณะนี้เขาไม่ใช่พนักงานของเราอีกต่อไป ทางเราต้องขอขอบคุณที่ได้แจ้งเรื่องนี้ให้เราทราบ และหวังว่าคุณจะยอมรับคำขอโทษจากเรา" บริษัทต้นสังกัดของ บรูซ ปีเตอร์สัน กล่าว 

           เรื่องราวของเอมิลี่และพ่อได้ถูกแชร์ไปทั่วทวิตเตอร์ ชาวเน็ตต่างก็เข้ามาให้กำลังกันอย่างล้นหลาม และมีหลายคนเสนองานให้เขาทำอีกด้วย ซึ่งเอมิลี่กล่าวว่า เธอรู้สึกยินดีที่หลาย ๆ คนยินดีให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งเรื่องกฎหมาย แต่พ่อของเธอไม่อยากเอาความกับใคร เขาให้อภัยบริษัทนั้นและมองหางานใหม่ ๆ ต่อไป นอกจากนี้แล้ว เขาก็ฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองในทุก ๆ วันอีกด้วย 

 

สมุดที่ มินห์ หวี่ง ใช้จดศัพท์ภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาตัวเองในทุก ๆ วัน 


ภาพจาก ทวิตเตอร์ @staleboba

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: