ต้องอ่าน! สุนทรพจน์อันทรงคุณค่าของ”มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก”ที่มอบให้ไว้ในพิธีจบการศึกษาที่ ม.ฮาร์วาร์ด…นี่แหละ นศ.ที่ประสบความสำเร็จแม้จะดร็อปเรียนถึง12ปี!!(มีคลิป)





 

ท่านประธาน Faust, Board of Overseer, คณะ ศิษย์เก่า เพื่อนๆ พ่อแม่ที่ภาคภูมิใจ สมาชิกบอร์ดบริหาร และผู้เรียนจบจากมหาลัยที่ดีเยี่ยมที่สุดในโลกนี้ ทุกท่าน

ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาอยู่กับพวกคุณในวันนี้ พูดก็พูดเถอะ พวกคุณทุกคนได้ทำสำเร็จในสิ่งที่ผมไม่เคยทำได้ (เรียนจนจบ Harvard 555) ถ้าวันนี้ผม speech จบได้นี่ จะถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมทำอะไรสำเร็จจริงๆสักทีที่ Harvard (555) คลาสปี 2017 ดีใจด้วยครับ

ผมคงเป็นคนพูดที่ไม่เหมาะสมเท่าไร ไม่ใช่แค่เพราะว่าผมดร็อปเรียนและออกมา แต่เป็นเพราะจะว่าไปแล้วเราก็เป็นคนรุ่นเดียวกัน เราเดินบนสนามหญ้าอันนี้ในเวลาห่างกันไม่ถึงทศวรรษ ศึกษาไอเดียเหมือนๆกัน และหลับในเลคเชอร์ EC10 เหมือนๆกัน (555) เราอาจจะมีเส้นทางที่แตกต่างกันกว่าจะมาถึงจุดนี้โดยเฉพาะพวกคุณที่มาไกลจาก the Quad แต่วันนี้ผมอยากจะแชร์สิ่งที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับ generation ของเรา และโลกที่เราจะสร้างไปด้วยกัน

แต่ก่อนใดเลย สองสามวันที่ผ่านมา ได้นำความทรงจำดีๆที่นี่กลับมามากมาย

ไหนใครจำได้เป๊ะๆบ้างว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่ตอนที่คุณได้รับ email ตอบรับแจ้งว่าคุณได้เข้าเป็นนักเรียน Harvard ของผม ผมกำลังเล่นเกม Civilization อยู่และก็วิ่งลงมาชั้นล่างเจอคุณพ่อ เพื่อจะเปิด email ดูพร้อมกัน และด้วยเหตุผลบางอย่าง สิ่งที่พ่อผมทำคือการถ่ายวิดีโอรีแอคชั่นผมตอนผมเปิด email ดูผลตอบรับจาก Harvard นั่นอาจกลายเป็นวิดีโอที่น่าเศร้ามากๆก็ได้นะ (555) ผมสาบานได้เลยว่าการได้เข้ามาที่ Harvard ยังเป็นสิ่งที่พ่อแม่ผมภูมิใจมากที่สุดในตัวผม

แล้วเรื่องการเข้าห้องเรียนครั้งแรกที่ Harvard ล่ะ ของผมเป็นคลาส Computer Science 121 กับสุดยอดจารย์ Harry Lewis ผมไปสายด้วยความรีบผมใส่ T-shirt โดยไม่รู้เลยว่ามันกลับนอกกลับในแถมยังกลับด้าน ที่ทำให้ tag ยี่ห้อโผล่มาด้านหน้าด้วยซ้ำ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไม่มีใครอยากคุยกับผมเลย (555) ยกเว้นไอ้หนุ่มคนหนึ่งชื่อ KX Jin เขาแค่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วไหลๆไปกับผม สุดท้ายเราได้ร่วมแก้ชุดปัญหาด้วยกัน และตอนนี้เขาก็ร่วมเป็นส่วนสำคัญคนหนึ่งของ Facebook และนั่น Class of 2017 คือเหตุผลว่าทำไมคุณควรรู้จักทำดีกับคนอื่นไว้ (555)

แต่ความทรงจำที่ดีที่สุดที่ผมได้จาก Harvard คือการได้พบกับ พริสซิลล่า (ภรรยาของ มาร์ค) ผมเพิ่งปล่อยเวบไซต์แสบๆ Facemash ออกมา แล้วก็ถูกเรียกโดยบอร์ดบริหารให้เข้าพบ ทุกคนคิดว่าผมคงโดนเตะออกจากมหาลัยแน่ๆ แม้แต่พ่อแม่ผมยังมาช่วยผมแพ็คกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน เพื่อนๆผมถึงกับจัดปาร์ตี้เลี้ยงส่งผม และคุณเชื่อเรื่องดวงกันไหม พริสซิลล่าไปงานปาร์ตี้นั้นด้วยกับเพื่อนของเธอ เราพบกันระหว่างรอคิวห้องน้ำใน Pfoho Belltower และ นี่ต้องเป็นหนึ่งในประโยคที่โรแมนติคตลอดกาลเลยนะ ผมบอกกับเธอว่า “ผมกำลังจะโดนไล่ออกจากมหาลัยในอีกสามวัน ดังนั้นผมว่าเราต้องรีบเดทกันแล้วล่ะ”

จริงๆแล้วพวกคุณที่กำลังจบ ก็ใช้ประโยคนี้ได้นะ (555)

สุดท้ายผมไม่ได้โดนไล่ออก แต่ผมดันออกซะเอง พริสซิลล่าและผมเริ่มเดทกัน คุณรู้ไหม ในหนังเค้าทำเหมือนกับ Facemash เป็นส่วนสำคัญของการเริ่มสร้าง Facebook มันไม่ใช่เลย แต่หากไม่มี Facemash แล้ว ผมก็คงไม่มีวันได้เจอ พริซซิลล่า คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตผม ดังนั้นก็คงไม่ผิดหากจะพูดว่า Facemash เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมสร้างระหว่างที่ผมเรียนอยู่ที่นี่

เราต่างได้เริ่มความสัมพันธ์ดีๆที่นี่ บางคนได้กระทั่งครอบครัว และนั่นคือเหตุผลว่าทำไม ผมถึงซาบซึ้งมากกับที่แห่งนี้ ขอบคุณ Harvard

วันนี้ผมอยากจะพูดเกี่ยวกับ ‘เป้าหมาย’ (Purpose) แต่ผมจะไม่มาพูดถึงการหาเป้าหมายชีวิตของคุณแบบที่พูดกันในพิธีจบการศึกษาทั่วๆไปหรอกนะ เราเป็น Millennials เราต่างพยายามหาเป้าหมายชีวิตเราด้วยสัญชาตญาณอยู่แล้ว กลับกัน ผมมาพูดเพื่อจะบอกคุณว่าการหาเป้าหมายชีวิตยังไม่เพียงพอ ความท้าทายของคนรุ่นเราคือการสร้างโลกที่คนทุกคนมี ‘การรับรู้ถึงเป้าหมาย’ (Sense of Purpose)

เรื่องเล่าที่ผมชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือตอนที่ John F Kennedy ได้เดินทางไปเยี่ยม NASA space center เขาเห็นภารโรงกำลังเดินถือไม้กวาดอยู่ เขาจึงเดินไปทักทายพร้อมถามว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ ภารโรงตอบกลับว่า “ท่านประธานาธิบดีครับ ผมกำลังช่วยพามนุษย์ขึ้นไปสู่ดวงจันทร์”

เป้าหมาย คือการรับรู้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง รู้ว่าเราเป็นที่ต้องการ รู้ว่าเรามีสิ่งที่ดีกว่าให้เรามุ่งมั่นทำงานไปข้างหน้า และเป้าหมายนี้แหละ ที่สร้างความสุขที่แท้จริง

พวกคุณกำลังสำเร็จการศึกษาในเวลาที่สำคัญยิ่ง ตอนสมัยที่พ่อแม่เราเรียนจบ เป้าหมายในชีวิตมักอ้างอิงจากงานของเขา โบสถ์ที่เขาไป ชุมชนที่เขาอยู่ แต่วันนี้ เทคโนโลยี และระบบออโตเมชั่นกำลังทดแทนงานมากมาย สมาชิกในชุมชนต่างๆกำลังลดลง ผู้คนมากมายต่างรู้สึกถูกตัดขาดสิ้นหวัง และหลายคนกำลังพยายามจะเติมความรู้สึกที่ขาดหายไป

ผมมีโอกาสได้เดินทางไปหลายแห่ง ผมได้นั่งคุยกับเด็กในสถานกักกันเยาวชนและผู้เสพติดฝิ่น เขาบอกผมว่าชีวิตเขาคงเปลี่ยนไปคนละเรื่องถ้าเพียงแต่พวกเขามีอะไรให้ทำ โปรแกรมพิเศษหรือที่ๆให้ไปหลังเลิกเรียน ผมได้เจอเหล่าคนงานโรงงานที่ไม่มีงานให้ทำอีกแล้ว และก็ต้องพยายามหาที่ยืนของตัวเองใหม่

เพื่อที่จะทำให้สังคมเราเดินหน้าไปได้ เรามีความท้าทายของรุ่นเรา ที่ไม่ใช่แค่สร้างงาน แต่คือสร้างการรับรู้ถึงเป้าหมายใหม่

ผมยังจำได้ถึงคืนแรกที่ผมเปิดตัว Facebook ที่หอพักเล็กๆของผมใน Kirkland House ผมไปบ้าน Noch กับเพื่อนผม KX ผมจำได้ว่าผมบอกเขาว่าผมตื่นเต้นแค่ไหนที่ได้เชื่อมชุมชน Harvard แต่สักวันคงมีใครสักคนที่จะเชื่อมคนทั้งโลกไว้ด้วยกัน

เรื่องของเรื่องคือ มันไม่เคยผ่านหัวผมเลยสักนิดว่าไอใครสักคนนั้นนะจะเป็นพวกเรานี่แหละ ตอนนั้นเรายังเป็นแค่เด็กมหาลัย เราไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น (เชื่อมคนทั้งโลก) มันมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มากมายที่มีทรัพยากรมากล้น ที่ผมคิดไปเองว่าพวกเขาคงจะทำมันแหละ แต่ไอเดียนี้มันชัดมากสำหรับเรา ว่าทุกคนในโลกอยากจะเชื่อมต่อเข้าถึงกัน เราจึงค่อยๆทำมันไปข้างหน้า วันแล้ววันเล่า

ผมรู้ว่าพวกคุณหลายคนจะมีเรื่องราวของคุณเองในแบบนี้ การเปลี่ยนแปลงโลกที่ดูเหมือนว่ามันโคตรจะชัดเลยจนคุณคิดว่าต้องมีใครสักคนทำมันแน่ๆ แต่พวกเขาไม่ คุณนั่นแหละจะทำมัน

แต่แค่การมีเป้าหมายของคุณเองมันยังไม่เพียงพอ คุณจำเป็นจะต้องสร้างการรับรู้ถึงเป้าหมายนี้แก่คนอื่นๆ ด้วย

ผมได้เข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ด้วยบทเรียนที่แสนแพง คุณคงดูออกแหละ ความหวังผมไม่เคยเป็นเรื่องการสร้างบริษัท แต่เป็นการสร้างอิมแพ็ค(เชื่อมคนทั้งโลก/เปลี่ยนแปลงโลก) และเมื่อตอนนั้นที่คนเริ่มมาร่วมทีมกับผม ผมก็เข้าใจไปเองว่าพวกเขาคงแคร์เรื่องเดียวกับผม ผมเลยไม่เคยได้อธิบายให้ชัดๆว่าผมหวังอะไรจากสิ่งที่เราสร้างขึ้น

ในเวลาแค่สองปี มีบริษัทยักษ์ใหญ่ต้องการจะซื้อเรา ผมไม่ต้องการจะขายเลยสักนิด ผมอยากรู้ว่าเราจะสามารถเชื่อมต่อคนให้มากกว่านี้ได้ขนาดไหน เรากำลังสร้าง News Feed ครั้งแรก และผมคิดในตอนนั้นว่า ถ้าเราเปิดตัวสิ่งนี้ มันจะสามารถเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกไปตลอดกาล

แต่ปรากฏว่าคนอื่นๆต่างอยากขาย เมื่อ(คนอื่น)ปราศจากเป้าหมายที่สูงกว่า(เงิน)แล้ว นี่ก็คือความฝันที่เป็นจริงของ startup ชัดๆ (ขายบริษัทได้เงินมหาศาล) สิ่งนี้แทบจะฉีกบริษัทเราเป็นชิ้นๆ หลังจากการถกสุดตึงเครียดครั้งหนึ่ง ผู้ปรึกษาคนหนึ่งบอกผมว่า ถ้าผมไม่ตกลงที่จะขาย ผมจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจนี้ไปตลอดชีวิต ความสัมพันธ์ในบริษัทขาดหลุดลุ่ยและภายในเวลาปีเดียวจากนั้น ก็ไม่เหลือคนในทีมบริหารเดิมเลยสักคนเดียว

นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในการนำ Facebook ของผม ผมเชื่อในสิ่งที่เรากำลังทำ แต่ผมกลับรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ที่แย่กว่าคือมันเป็นความผิดผม ตอนนั้นผมได้แต่ครุ่นคิดว่าหรือเป็นผมที่ผิด หรือผมหลอกตัวเอง เป็นแค่ไอเด็ก 22 ปีที่ไม่รู้ว่าโลกนี้จริงๆเป็นยังไง

แต่ตอนนี้ หลายปีผ่านไป ผมเข้าใจแล้วว่านั่นคือผลพวงของการทำงานโดยไม่มีการรับรู้ถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า(เป้าหมายส่วนตัว) มันขึ้นอยู่กับเราที่จะสร้างมัน (การรับรู้ถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่) เพื่อที่เราจะได้เดินหน้าไปเป้าหมายเดียวกันร่วมกัน

วันนี้ผมอยากจะพูดถึง 3 วิธีที่เราจะสร้างโลกที่ทุกคนจะสามารถรับรู้ถึงเป้าหมายได้ 1.โดยการทำโปรเจ็คที่มีความหมายยิ่งใหญ่ร่วมกัน 2. โดยการเปลี่ยนคำจำกัดความของคำว่าเท่าเทียม เพื่อที่ทุกคนจะได้มีอิสระในการไล่ล่าเป้าหมายนั้น และ 3. โดยการสร้างชุมชนโลก

เริ่มแรก มาพูดถึงการทำโปรเจ็คที่มีความหมายยิ่งใหญ่กัน

คนรุ่นเราจะต้องเผชิญกับภาวะที่งานกว่า 10 ล้านงานถูกแทนที่โดยระบบ automation เช่นรถที่ขับเองได้ แต่เรายังมีศักยภาพจะทำอะไรได้มากกว่านั้นอีกเยอะด้วยกัน

คนทุกรุ่นต่างมีงานที่นิยามคนรุ่นตัวเอง มีคนมากกว่า 3 แสนคน ร่วมกันเพื่อจะพามนุษย์ไปสู่ดวงจันทร์ รวมถึงภารโรงคนนั้นด้วย มีคนกว่าล้านอาสาเพื่อจะให้วัคซีนเด็กทั่วโลกเพื่อกำจัดโรคโปลีโอไปจากโลก มีคนกว่าล้านช่วยกันในสร้างเขื่อน Hoover Dam และอีกหลายโปรเจ็คยิ่งใหญ่มากมาย

โปรเจ็คเหล่านี้ไม่ได้แค่ให้เป้าหมายกับคนที่ทำงานพวกนั้น แต่มันยังให้เราทั้งประเทศได้สัมผัสถึงความภาคภูมิใจว่าเราสามารถทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากๆได้

วันนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะลุกมาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ผมรู้ พวกคุณคงแอบคิดว่า กูไม่รู้จะสร้างเขื่อนยังไง กูไม่รู้จะทำให้คนเป็นล้านมาทำอะไรร่วมกันได้ไง

แต่ให้ผมบอกความลับอะไรคุณหนึ่งอย่าง ไม่มีใครรู้หรอกตอนเริ่มน่ะ ไอเดียมันไม่เคยมาแบบครบถ้วนสมบูรณ์ตั้งแต่ต้น มันจะค่อยๆชัดขึ้นเมื่อคุณเริ่มลงมือทำ คุณแค่ต้องเริ่มทำมันเท่านั้นแหละ

ถ้าผมต้องรอให้ผมเข้าใจทุกสิ่งเกี่ยวกับการเชื่อมคนในโลกไว้ด้วยกัน ผมคงไม่ได้สร้าง Facebook ด้วยซ้ำ

หนังและ Pop Culture พาลทำเราเข้าใจผิดไปหมด ไอความคิดที่ว่าเดี๋ยวมันจะมีโมเมนต์ยูเรก้า(ที่ตรัสรู้ แก้ปัญหาทุกอย่าง)โผล่ออกมา เป็นคำโกหกที่สุดจะอันตราย มันทำให้เรารู้สึกไม่พร้อมเพราะเรายังไม่มีโมเมนต์นั้นเลย มันกลายเป็นข้ออ้างกันคนที่มีเมล็ดไอเดียดีๆ(แต่ยังไม่เติบโต) ให้ไม่กล้าลงมือเริ่มต้น แล้วคุณรู้ไหม อะไรอีกในหนังที่ทำเราเข้าใจผิดไปหมดเกี่ยวกับการสรรสร้าง ไม่มีใครหรอก(โว้ย)ที่จะเขียนสูตรเลขบนกระจกใส นั่นไม่เคยเป็นจริงเลย (555)

มันดีนะที่จะเป็น Idealistic (อุดมคตินิยม) แต่จงเตรียมที่จะรับการเข้าใจผิด ทุกคนที่ทำด้วยวิสัยทัศน์ยิ่งใหญ่มักจะถูกเรียกว่าคนบ้า แม้สุดท้ายคุณจะเป็นฝ่ายถูก คนที่พยายามแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจะถูกก่นด่าว่าไม่เข้าใจถึงอุปสรรคที่มี ทั้งๆที่มันไม่มีทางเลยที่จะรู้ทุกสิ่งก่อนล่วงหน้า คนที่ลงมือทำอะไรใหม่ๆจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ารีบไปเร่งไป เพราะมันจะมีคนที่ต้องการจะหยุดหรือทำให้คุณช้าลงเสมอ

ในสังคมเรานี้ เรามักจะไม่ได้ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพราะเรามัวแต่กลัวที่จะทำผิดพลาด จนเราลืมความจริงที่ว่าการไม่ทำอะไรเลยนี่แหละคือสิ่งที่ผิดที่สุด ความเป็นจริงคือ ไม่ว่าเราทำอะไร มันก็จะมีปัญหาในวันข้างหน้า แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างให้เราไม่เริ่มทำมันสักที

เราจะรออะไรกันเหรอ มันคือเวลาของเราแล้วที่จะสร้างงานที่เป็นตัวแทนของรุ่นเรา ทำไมไม่ลองหยุด ภาวะโลกร้อน กันก่อนที่เราจะทำลายดาวดวงนี้ ให้คนล้านๆคนในรุ่นเรา ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตและติดตั้ง พลังงานแสงอาทิตย์ ทำไมเราไม่รักษาโรคทุกโรคบนโลกนี้ รับอาสาสมัครเพื่อจะเก็บข้อมูลสุขภาพและแชร์ข้อมูลเรื่องยีนส์กัน ทุกวันนี้เราใช้จ่ายเงินกว่า 50 เท่าในการรักษาคนที่ป่วย มากกว่าทีเราใช้ในการหาหนทางรักษาสุขภาพคนเพื่อไม่ให้ป่วยตั้งแต่ต้น นั่นไม่เมกส์เซนส์เลย เราแก้ไขมันได้ ทำไมเราไม่ทำประชาธิปไตยให้ทันสมัย ให้ทุกคนสามารถ vote ออนไลน์ได้ แล้วเรื่องการศึกษาส่วนบุคคล ที่ทำให้ทุกคนสามารถเรียนได้ล่ะ?

ความสำเร็จเหล่านี้อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม เรามาทำมันในแบบที่ให้โอกาสคนทุกคนในสังคมเราได้ร่วมมีบทบาทในการทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่กันเถอะ ไม่ใช่ทำเพื่อสร้างแค่ความก้าวหน้า แต่เพื่อสร้างเป้าหมาย

สรุปคือการทำโปรเจคที่มีความหมายยิ่งใหญ่ร่วมกัน คือสิ่งแรกที่เราสามารถทำได้เพื่อจะสร้างโลกที่ทุกคน รับรู้ถึงเป้าหมาย

สิ่งที่สองคือ การเปลี่ยนคำจำกัดความของคำว่าเท่าเทียม เพื่อที่ทุกคนจะได้มีอิสระในการไล่ล่าเป้าหมาย

พ่อแม่ของเราโดยมากมีงานที่มั่นคงทำตลอดช่วงการทำงานของพวกเขา ตอนนี้เราต่างเป็นผู้ประกอบการกันไปหมด ไม่ว่าเราจะเป็นคนเริ่มโปรเจ็ค หรือหาเป็นหนึ่งในนั้น และนั่นเป็นเรื่องที่ดี วัฒนธรรมผู้ประกอบการของเราคือสิ่งที่ทำให้เราสร้างความก้าวหน้าได้มากมายในช่วงที่ผ่านมา

ตอนนี้ สิ่งที่ทำให้วัฒนธรรมผู้ประกอบการของเราเจริญงอกงามยิ่งขึ้น คือความง่ายที่เราจะได้ทดลองไอเดียใหม่ๆมากมาย Facebook ไม่ใช่สิ่งแรกที่ผมสร้าง ก่อนนั้นผมสร้างเกม ระบบแชต เครื่องมือทางการศึกษา เครื่องเล่นเพลง และไม่ใช่แค่ผมคนเดียว JK Rowling ถูกปฏิเสธกว่า 12 ครั้งกว่าจะได้ตีพิมพ์หนังสือ Harry Potter แม้แต่ Beyonce ยังต้องทำเพลงกว่าร้อยเพลง กว่าที่จะได้เพลง Halo ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากๆมากจากการที่เราได้มีอิสระที่จะล้มเหลว

แต่ทุกวันนี้ เรามีความแตกต่างทางฐานะที่เหลื่อมล้ำมากจนมันทำร้ายทุกคน เมื่อคุณไม่มีอิสระที่จะทำไอเดียคุณให้เป็นจริง เราทุกคนแพ้ ในตอนนี้สังคมเราเอนเอียงอย่างมากกับการให้รางวัลคนที่สำเร็จ และเราไม่ได้ทำมากพอให้มันง่ายสำหรับคนอื่นๆที่จะได้มีโอกาสบ้าง

ยอมรับกันเถอะ มันมีอะไรผิดในระบบของเราแน่ๆ เมื่อผมออกจากนี้ไปและสามารถทำเงินเป็นพันล้านดอลลาร์ในเวลาแค่ 10 ปี ในขณะที่มีนักเรียนหลายล้านคนไม่สามารถที่จะจ่ายคืนเงินกู้ยืมสำหรับการเรียนของตัวเองด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงที่จะให้เค้าได้สร้างธุรกิจของตัวเองด้วยซ้ำ

ผมรู้จักผู้ประกอบการมากมาย และผมไม่เคยเห็นสักคนที่จะยอมแพ้ไม่สร้างธุรกิจเพียงเพราะพวกเขาอาจมีเงินไม่เพียงพอ แต่ผมรู้จักคนอีกมากมายที่ไม่เคยได้ไล่ล่าความฝันของตัวเองเพียงเพราะพวกเขาไม่มีฟูกไว้รองรับเมื่อเค้าล้มเหลว

เราต่างรู้ดีว่าเราไม่ได้สำเร็จได้เพียงแค่เพราะว่าเรามีไอเดียที่ดีและเราทำงานหนัก เราสำเร็จเพราะเราโชคดีกว่าคนอื่นด้วย ถ้าผมต้องดูแลครอบครัวผมแทนที่จะมีเวลามาทำโค้ดดิ้ง ถ้าผมไม่รู้ว่าผมยังสบายๆได้อยู่แม้ผมทำ Facebook ไม่สำเร็จ ผมก็คงไม่ได้มายืนที่นี่ตรงนี้ ถ้าเรายอมรับความจริง เราต่างก็รู้ว่าเราโชคดีมากขนาดไหน

ทุกๆรุ่นที่ผ่านมาได้ขยายขอบเขตคำจำกัดความของคำว่าเท่าเทียม คนรุ่นก่อนได้ต่อสู้เพื่อสิทธิในการโหวตและสิทธิพลเมือง เขาได้สร้างข้อตกลงใหม่ๆและสังคมที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ถึงเวลาของคนรุ่นเราแล้วที่จะนิยามสัญญาทางสังคมอันใหม่สำหรับคนรุ่นเรา

เราควรจะมีสังคมที่วัดความก้าวหน้าไม่ใช่แค่ในเชิงมาตรวัดทางเศรษฐศาสตร์อย่าง GDP แต่วัดจากมีคนกี่คนที่มีบทบาทที่มีความหมายในสังคม เราควรจะลองแนวคิดเรื่องรายได้ขั้นต่ำสำหรับทุกคน เพื่อให้ทุกคนได้ลองได้ทำสิ่งใหม่ๆ เราจะได้เปลี่ยนได้ลองงานบ่อยๆ เราจึงต้องการระบบ childcare ที่ราคาเหมาะสม เพื่อให้พ่อแม่ใหม่ๆไปทำงานได้ และเราต้องการ healthcare ที่ไม่ได้ผูกติดอยู่ที่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง เราทุกคนล้วนจะทำผิดพลาด ดังนั้นเราต้องการสังคมที่โฟกัสการลงโทษตรีตราคนพลาดให้น้อยลง และเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนไปทุกวัน เราต้องโฟกัสการศึกษาที่จะดำเนินต่อเนื่องไปตลอดชีวิตของเราให้มากขึ้น

นั่นแหละ ให้โอกาสทุกคนที่จะไล่ล่าเป้าหมายไม่ได้เป็นอะไรที่ให้กันได้ฟรีๆ คนอย่างผมนี่แหละควรจะเป็นคนชดใช้ให้(กับสังคม) หลายคนในพวกคุณก็จะทำ(แบบผม) และผมคิดว่าคุณควรทำนะ

นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมพริสซิลล่ากับผมถึงได้เริ่มโครงการ Chan Zuckerberg และลงทรัพย์ของเราไปกับการสนับสนุนโอกาสในความเท่าเทียม นี่แหละคือคุณค่าที่คนรุ่นเราจะให้ไว้กับโลกใบนี้ มันไม่ใช่คำถามเลยว่าเราจะทำสิ่งนี้ดีไหม คำถามเดียวที่มีคือเมื่อไรเราจะทำ

Millennials เป็นหนึ่งในรุ่นที่ทำการกุศลมากสุดในประวัติศาสตร์อยู่แล้ว เพียงแค่ปีเดียว 3 ใน 4 ของ Millennials ในอเมริกา ได้บริจาคเงิน และ 7 ใน 10 ได้ร่วมสมทบเงินเพื่อการกุศล

แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น คุณยังสามารถให้เวลาคุณได้ ผมสัญญากับคุณเลย แค่คุณยอมสละเวลา 1–2 ชั่วโมงในแต่ละสัปดาห์ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่คุณจะยื่นมือช่วยให้คนอื่นเข้าถึงศักยภาพของพวกเขา

คุณอาจคิดว่านี่มันใช้เวลามากไป ผมก็เคยคิดแบบนั้น ตอนที่พริสซิลล่าเรียนจบจาก Harvard และเริ่มเป็นอาจารย์ ก่อนที่เธอจะเริ่มทำเรื่องการศึกษากับผม เธอบอกผมว่าผมต้องไปสอนใน class ผมบ่นอิดออด “อืม ผมค่อนข้างยุ่งนะ ผมกำลังขับเคลื่อนบริษัทนี้อยู่” (555) แต่เธอยืนยันให้ผมไป ผมเลยได้ไปสอนโรงเรียนมัธยมต้นเกี่ยวกับเรื่อง ผู้ประกอบการ ที่ Local Boys and Girls Club

ผมสอนบทเรียนพวกเขาเกี่ยวกับ การพัฒนาสินค้าและการตลาด ส่วนเขาสอนให้ผมรู้ว่ามันรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องตกเป็นเป้าเพียงเพราะเชื้อชาติที่เกิดหรือเพราะมีคนในครอบครัวติดคุก ผมแชร์เรื่องราวระหว่างสมัยผมเรียนกับพวกเขา และพวกเขาแชร์ความหวังของพวกเขาที่อยากจะเข้ามหาลัยให้ได้เหมือนกับผมสักวันหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลา 5 ปีแล้ว ผมยังได้ไปกินข้าวเย็นกับเด็กเหล่านั้นทุกเดือน หนึ่งในนั้นได้มาร่วมอาบน้ำครั้งแรกให้ลูกของผมกับพริสซิลล่าด้วย และปีหน้าพวกเขากำลังจะเข้ามหาลัย ทุกคนเลย เป็นคนแรกในครอบครัวของเขาด้วย(ที่ได้เข้ามหาลัย)

เราทุกคนสามารถหาเวลาที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ มาให้โอกาสคนอื่นได้ไล่ล่าเป้าหมายของเค้ากัน ไม่ใช่เพียงแค่เพราะมันเป็นเรื่องที่ถูก แต่เพราะเมื่อทุกคนสามารถทำความฝันให้กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่จริงๆได้ มันก็ดีขึ้นกับเราทุกๆคน

เป้าหมายไม่ได้มาจากแค่เฉพาะการทำงาน สิ่งที่สามที่เราสามารถสร้าง การรับรู้ถึงเป้าหมาย สำหรับทุกคนก็ด้วยการ สร้างชุมชนร่วมกัน และเมื่อรุ่นเราพูดถึงทุกคน เราหมายถึงทุกๆคนในโลกใบนี้

ขอดูมือหน่อยครับ ไหนมีใครบ้างที่นี้ที่มาจากประเทศอื่น? ทีนี้ขอมือคนที่เป็นเพื่อนกับคนเหล่านี้หน่อยครับ (เกือบทั้งหมดยกมือ) นี่แหละที่พูด เราเติบโตมาเชื่อมโยงกันหมด

ในแบบสอบถาม ถาม Millennials ทั่วโลกว่าอะไรที่นิยามตัวตนของเรา คำตอบที่คนตอบมากที่สุดไม่ใช่เชื้อชาติของเรา ไม่ใช่ศาสนาความเชื่อ แต่เราคือ ‘พลเมืองของโลกใบนี้’

ทุกๆรุ่นได้ทำการขยายวงของกลุ่มคนที่เราถือว่าเป็น ‘หนึ่งในพวกเรา’ สำหรับรุ่นเราแล้ว ตอนนี้มันเป็นวงของคนทั้งโลก

เราเข้าใจประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติก้าวหน้าได้เพราะ ผู้คนที่จับกลุ่มกันในจำนวนที่มากขึ้น จากชนเผ่าสู่เมืองสู่ประเทศ เพื่อจะทำสิ่งที่พวกเราไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเราเพียงลำพัง

เรามีโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยมีมา เพราะตอนนี้มันคือ โลกทั้งใบ เราสามารถเป็นคนรุ่นที่ขจัดความจนและโรคภัยให้สิ้นซาก เรามีความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องการการตอบรับในระดับโลก ไม่มีประเทศไหนสามารถต่อสู้กับเรื่องภาวะโลกร้อนหรือป้องกันโรคระบาดได้เพียงลำพัง การก้าวไปข้างหน้าต้องการการลงมือร่วมกันไม่ใช่แค่ในระดับเมืองหรือประเทศ แต่เป็นทั้งหมดในระดับโลก (Global Community)

แต่เราอาศัยอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่เสถียร ยังมีคนอีกมากมายถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโลกาภิวัฒน์ที่กระจายไปทั้งโลก มันยากที่เราจะใส่ใจผู้คนในที่อื่นๆ ถ้าเรายังไม่รู้สึกดีกับชีวิตที่บ้านของเราเองที่นี่ นั่นคือแรงกดดันที่เราต้องช่วยกันพยายามหาคำตอบให้ได้

นี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของเรา เมื่อพลังแห่งเสรีภาพ ความเปิดกว้างและชุมชนโลก ต้องเจอการต่อต้านจาก พลังแห่งอำนาจนิยม สันโดษนิยม และชาตินิยม

พลังสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ การแลกเปลี่ยน และการอพยพ ถูกต่อต้านด้วยเหล่าคนที่ต้องการจะทำให้สิ่งเหล่านี้ช้าลง นี่ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างประเทศ มันเป็นการต่อสู้ทางไอเดีย มีผู้คนที่อยู่ในทุกๆประเทศที่ควรจะถูกเชื่อมโยงกับโลกและก็มีคนที่ต่อต้านมัน

เรื่องนี้จะไม่ถูกตัดสินใจด้วยองค์กรอย่าง UN มันจะเกิดขึ้นในระดับท้องถิ่น เมื่อผู้คนอย่างเรามีมากพอ คนที่รู้ได้ถึงเป้าหมายและความมั่นคงในชีวิตของของเราเอง เมื่อเรามีครบแล้วเราก็เริ่มที่จะสามารถเปิดตัวเองและเริ่มแคร์เกี่ยวกับผู้คนอื่น ทางที่ดีที่สุดในการทำให้มันเกิดคือการเริ่มจากชุมชนท้องถิ่นของเรานี่แหละ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้

เราต่างได้อะไรบางอย่างจากชุมชนของเรา ไม่ว่าชุมชนที่ว่าจะเป็นหมู่บ้าน ทีมกีฬา โบสถ์ หรือ กลุ่มคนชอบดนตรี มันทำให้รับรู้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่า ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยว มันเป็นพลังให้เราขยายขอบเขตความรู้และประสบการณ์ของเรา

นี่เลยเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากว่าหลายทศวรรษนี้ สมาชิกในกลุ่มต่างๆได้ลดลงเหลือเพียง หนึ่งในสี่ มีคนมากมายที่ตอนนี้ต้องหาเป้าหมายใหม่ให้ตัวเองในที่อื่นๆ

ผมรู้เราสามารถสร้างชุมชนกลุ่มขึ้นมาใหม่ เพราะหลายๆคนในที่นี้ก็ได้เริ่มทำกันแล้ว

ผมได้เจอ Agnes Igoye ที่จบการศึกษาในวันนี้ Agnes คุณอยู่ไหน? เธอใช้เวลาในวัยเด็กอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งในเขต Uganda แล้วตอนนี้เธอได้ใช้ประสบการณ์อบรมผู้รักษากฏหมายกว่าพันคนเพื่อช่วยให้ชุมชนปลอดภัย

ผมได้พบ Kayla Oakey และ Niha Jain ที่จบในวันนี้เช่นกัน ยืนขึ้นหน่อยครับ Kayla และ Niha ได้เริ่มสร้างองค์กรณ์ที่ไม่แสงกำไรที่ช่วยเชื่อมคนที่กำลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดกับกลุ่มคนในชุมชนที่พร้อมจะให้การช่วยเหลือ

ผมได้พบ David Razu Aznar ที่จบจาก Kennedy School วันนี้ David ช่วยยืนขึ้นหน่อย เขาเป็นอดีตเทศมนตรีเมืองที่เคยช่วยต่อสู้จนทำให้เมือง Mexico City เป็นเมืองแรกในเขตลาตินอเมริกาที่ผ่านกฏหมายการแต่งงานของเพศเดียวกัน ได้ก่อนที่ San Francisco ด้วยซ้ำ

นี่เป็นเรื่องราวของผมเช่นกัน เด็กนักเรียนในห้องหอพัก ที่ช่วยเชื่อมต่อชุมชนทีละหนึ่งชุมชน และยังคงมุ่งมั่นทำมันจนเราสามารถเชื่อต่อทั้งโลกไว้ด้วยกัน

การเปลี่ยนแปลง เริ่มจากท้องถิ่น แม้แต่การเปลี่ยนโลกก็เริ่มจากเล็กๆ จากผู้คนอย่างเรานี่แหละ ในรุ่นเรา การต่อสู้เพื่อเราจะสามารถเชื่อมต่อได้มากกว่านี้ไหม ว่าเราจะทำโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จได้หรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ความสามารถในการสร้างชมชนและโลกที่ๆทุกคนมีและ รับรู้ได้ถึงเป้าหมาย

คลาส 2017 ครับ คุณกำลังจะจบไปสู่โลกที่ต้องการ เป้าหมาย มันขึ้นอยู่กับคุณแล้วที่จะสร้างมันขึ้นมา

ตอนนี้ คุณอาจกำลังคิดว่า กูจะสามารถทำได้จริงๆเหรอ

จำได้ไหมครับที่ผมเล่าว่าผมสอน class ให้กับ Boys and Girls Club วันหึ่งหลังเลิก class ผมคุยกับพวกเด็กๆเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย แล้วหนึ่งในนักเรียนที่เก่งที่สุดก็ยกมือขึ้นมาแล้วบอกผมว่าเขาไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถเข้าได้หรือเปล่า เพราะเค้าไม่มีเอกสารรองรับ (พลเมือง) เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามหาลัยจะยอมรับเขาไหม

ปีที่แล้วผมพาเค้าไปทานข้าวมื้อเช้า เนื่องในโอกาสวันเกิดของเขา ผมอยากจะให้ของขวัญเขาเลยถามเขาว่าอยากได้อะไร เขาเริ่มพูดเกี่ยวกับเด็กนักเรียนคนอื่นๆที่กำลังยากลำบาก แล้วก็บอกกับผมว่า “คุณรู้ไหม ผมว่าผมอยากได้หนังสือสักเล่มเกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคม”

ผมอึ้งไปเลย เด็กคนนี้มีเหตุผลเป็นร้อยพันที่จะรู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพช เขาไม่รู้ว่าประเทศที่เค้าเรียกว่าบ้าน ประเทศเดียวที่เค้ารู้จัก จะเป็นประเทศที่ปฏิเสธความฝันเขาที่จะเข้ามหาลัย แต่เขาไม่ได้รู้สึกสงสารตัวเอง เขาไม่ได้คิดถึงตัวเองด้วยซ้ำ เขามีเป้าหมายความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น และเขาจะช่วยคนอีกมากมายไปกับเขา

มันบอกอะไรได้มากมายถึงสถานการณ์ที่เราเป็นอยู่ ที่ผมไม่อาจแม้จะเอ่ยชื่อเขาเพราะผมไม่อยากเอาเขามาเสี่ยง แต่ถ้านักเรียนม.6 ที่ไม่รู้ว่าอนาคตที่รอข้างหน้าเป็นอย่างไรสามารถทำอะไรเพื่อจะเปลี่ยนโลกนี้ให้ดีขึ้น ผมว่าเราทุกคนก็ติดค้างภาระที่เราควรร่วมทำให้กับโลกใบนี้เช่นกัน

ก่อนที่คุณจะเดินออกจากประตูไปข้างนอก ขอพูดอีกนิด เนื่องจากเรานั่งอยู่ต่อหน้า Memorial Church ผมจำได้ถึงบทสวด Mi Shebeirach ที่ผมเคยพูดตอนผมเผชิญกับอุปสรรค บทสวดที่ผมร้องให้ลูกสาวผมฟังระหว่างคิดถึงอนาคตของเธอเมื่อผมส่งเธอเข้านอน บทสวดว่า

“ขอแหล่งพลัง ที่เคยได้เป็นพรกับคนที่มาก่อนเรา ช่วยเรา ให้เราพบความกล้า ที่จะทำให้ชีวิตของเราเป็นดั่งพร”

“May the source of strength, who blessed the ones before us, help us *find the courage* to make our lives a blessing.”

ผมหวังว่าคุณจะพบความกล้าที่จะทำให้ชีวิตคุณเปี่ยมไปด้วยพร

ยินดีด้วย Class of ’17 โชคดีกับหนทางข้างหน้า

แปลโดย : medium.com
คลิปโดย : Global News

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: