ศักดิ์สิทธิ์มาเป็นร้อยปี!“ยามอุบากอง” ใช้ดูฤกษ์ก่อนออกจากบ้าน!!ให้ปลอดภัยมีโชคลาภ





   “ยามอุบากอง” หรือบ้างก็เรียกว่า “ยันต์อุบากอง” เป็นยันต์ที่คนสมัยก่อนรู้จักกันอย่างแพร่หลาย และเชื่อถือว่าเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ์คงกระพัน ใช้สะเดาะโซ่ตรวนถึงขั้นแหกคุกก็ได้ ที่เรียกว่า ยามอุบากอง เพราะใช้ดูฤกษ์ดูยามตอนก่อนออกจากบ้าน ให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายและมีโชคลาภ สมัยโบราณทั้งชาวไทยและชาวพม่านิยมสักยันต์นี้ไว้ที่แขน ขา หรือที่หน้าอก เพื่อใช้ดูฤกษ์ยามได้สะดวก

 [ads]     

    รูปแบบของยันต์อุบากองหรือยามอุบากองเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านสูงมี ๗ ช่อง ด้านกว้างมี ๕ ช่อง รวมเป็น ๓๕ ช่อง ภายในช่องบรรจุเป็นรูปวงกลมแบบเลขศูนย์บ้าง กากะบาดบ้าง แต่เว้นช่องเปล่าไว้ ๗ ช่องใช้สำหรับดูฤกษ์ยามต่างๆ โดยมีกฎเกณฑ์ที่กล่าวเป็นคำกลอนไว้ดังนี้

  •             ศูนย์หนึ่ง        อย่าพึงจร               แม้นราญรอนจะอัปรา
  •             สองศูนย์       เร่งยาตรา                จะมีลาภสวัสดี
  •             สี่ศูนย์          พูนผล                   จรดลลาภมากมี
  •             ปลอดศูนย์    พูลสวัสดิ์                ภัยพิบัติลาภไม่มี
  •             กากะบาด     ตัวอัปรีย์                 แม้จรลีจะอันตราย

            ที่มาของยามอุบากองนี้ พงศาวดารรัชกาลที่ ๑ กล่าวไว้ว่า ในปี พ.ศ.๒๓๔๐ พระเจ้ากรุงอังวะได้ให้อินแซะหวุ่น เป็นแม่ทัพใหญ่คุมทหาร ๗ กองพลมาตีเมืองเชียงใหม่ พระเจ้ากาวิละรักษาเมืองไว้มั่น พม่าได้แต่ล้อมเมืองไว้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้วังหน้า กรมพระราชวังบวรฯ ยกทัพขึ้นไปช่วย แต่เมื่อเสด็จไปถึงเมืองเถินก็ประชวร จึงโปรดให้กรมพระราชวังหลังเสด็จขึ้นไปบัญชาการศึกแทน กองทัพไทยตีกองทัพพม่าแตกยับเยิน จับแม่ทัพที่คุม ๑ ใน ๗ กองพลได้คนหนึ่งชื่อ อุบากอง

            เมื่อนำเชลยศึกพม่าทั้งหมดมาขังรวมกัน เชลยพม่าทุกคนต่างถอดเสื้อตัวล่อนจ้อน เห็นอุบากองสักยันต์ด้วยหมึกดำเต็มตัวดูเหมือนใส่เสื้อ โดยเฉพาะที่หน้าอกเป็นตารางรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นช่องๆ เมื่อผู้คุมถามว่าเป็นยันต์อะไร อุบากองก็บอกว่าเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ์ที่เขาผูกขึ้นมาเอง ทั้งยังลอกยันต์นี้พร้อมอธิบายวิธีใช้ให้ผู้คุมไทยด้วย ผู้คุมได้นำยันต์ที่อุบากองให้ไปแปลเป็นไทย และแจกจ่ายกันไปทั่วทั้งทหารและชาวบ้าน เรียกกันว่า “ยันต์อุบากอง”

            ต่อมาทางไทยรู้ว่าอุบากองผู้นี้ไม่ใช่คนพม่าอย่างที่ทางฝ่ายพม่าเข้าใจ แต่เป็นคนไทยที่ถูกกวาดต้อนไปพร้อมกับพ่อเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตกในปี ๒๓๑๐ จึงส่งตัวลงมากรุงเทพฯ

            พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯรับสั่งให้สอบสวนเรื่องนี้ ปรากฏว่าอุบากองเป็นคนไทยจริง อยู่บ้านบางแค ที่กรุงศรีอยุธยา มารดา พี่ชาย น้องชาย และญาติก็ยังอยู่ จึงรับสั่งให้นำตัวเข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่งสาบานตัวถวาย แล้วตรัสถามเรื่องราชการในกรุงอังวะ อุบากองก็กราบทูลได้เรื่องมากกว่าที่เคยสอบถามจากแม่ทัพนายกองพม่าคนอื่นๆ ทรงพระเมตตาพระราชทานเสื้อผ้า เงินตรามิให้ขัดสนอดอยาก

            แต่ต่อมาอุบากองก็ถูกจับเข้าจองจำในคุก เพราะอวดวิชาอาคม มีคนเชื่อถือกันมากจนจะกลายเป็นผู้วิเศษ ถูกจองจำอยู่ประมาณ ๒ ปี อุบากองก็สะเดาะกลอนที่คุมขังหนีกลับไปพม่าได้ เลยทำให้ยันต์อุบากองได้รับความเชื่อถือร่ำลือกันทั่วเมือง

            แม้ต่อมาจะเป็นที่เปิดเผยว่า ที่อุบากองแหกคุกออกไปได้นั้นไม่ได้ใช้ยันต์ แต่ใช้สินบน ยันต์อุบากองก็ยังคงได้รับความเชื่อถือไม่เสื่อมคลายเป็นเวลากว่าร้อยปี โดยเฉพาะใช้ในการจับยามในเวลาก่อนจะออกจากบ้าน ให้ประสบโชคดีไม่มีภัยอันตรายใดๆ

ขอบคุณเนื้อหาจาก:http://manager.co.th

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: