แล้วจะไว้ใจใครได้! ลุงป้าร้องทุกข์ ฝากรถไว้โรงพักเหลือแต่ซาก-ตำรวจโต้ รับคืนไปแล้ว!





 

ลุง-ป้าชาวนครสวรรค์ร้อง ฝากรถของกลางไว้ที่โรงพัก สภ.เมืองนครสวรรค์ แล้วเครื่องยนต์หายเหลือแต่ซาก ด้านตำรวจ ยันแค่ฝากจอด และส่งคืนรถในสภาพสมบูรณ์ให้คู่กรณีแล้ว มีหลักฐานชัดเจน

วันที่ 8 พ.ค. ทีมข่าวไทยรัฐ เดินทางไปยัง จ.นครสวรรค์ หลังมีข่าว นายสมพงษ์ และ นางอำนวย มุกต์ดา สองลุง-ป้าเจ้าของเต็นท์รถมือ 2 ที่ขู่เตรียมนำซากรถออกมาประจานการทำงานของตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์ เพราะก่อนหน้านี้ได้นำรถของกลางมาฝากไว้นานนับปี แต่พอจะมาเอารถ ปรากฏว่าเหลือแต่ซากโครงรถ จึงออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม

 

 

เมื่อไปถึงพบซากรถกระบะที่เหลือแต่โครงเหล็กไม่มีเครื่องยนต์ด้านในหรือกระปุกเกียร์ พร้อมติดป้ายร้องเรียนด้วยข้อความว่า รถยนต์คันนี้เป็นของกลางอยู่ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ หายไปจากโรงพักเครื่องกับเกียร์หายไปหมด แต่เมื่อสอบถามตำรวจกลับเงียบหาย ซึ่งเป็นป้ายประท้วงขอความเป็นธรรมของนายสมพงษ์ และนางอำนวยมุกต์ดา ชำนาญไพร สองสามีภรรยาที่ได้ช่วยกันเขียนติดไว้บริเวณหน้าบ้านพักหมู่ 5 ตำบลหนองกรด อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

ทีมข่าวไทยรัฐ ได้พูดคุยกับนายสมพงษ์ และนางอำนวยมุกต์ดา ทั้งคู่เล่าว่า มีอาชีพซื้อขายรถมือสอง โดยเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2558 ได้ไปประมูลรถที่เกิดอุบัติเหตุมาจากบริษัทสหการประมูล จำกัดสาขาปทุมธานี เป็นรถยนต์กระบะมิตซูบิชิสีเทา ทะเบียน บธ201 จังหวัดสระแก้ว เพื่อนำมาซ่อมขาย ต่อมามีนายมานพ ชื่นอยู่ ได้มาติดต่อขอซื้อรถคันดังกล่าวโดยจ่ายเงินบางส่วนพร้อมนัดชำระส่วนที่เหลืออีกทีในเดือนถัดไป แต่เมื่อถึงกำหนดนายมานพกลับไม่นำเงินส่วนที่เหลือมาชำระให้ จึงได้ติดต่อตำรวจให้ไปยึดและนำรถคันดังกล่าวมาไว้ที่สภ.เมืองนครสวรรค์ เพื่อให้นายมานพมาชำระหนี้ที่เหลือ แต่นายมานพก็ยังไม่สามารถมาชำระได้ จึงจอดรถไว้ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ นานนับปี

ต่อมานายมานพ ได้มาติดต่อพร้อมจะนำเงินส่วนที่เหลือมาให้จึงนัดกันไปตกลงที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ ปรากฏว่ารถคันดังกล่าวไม่อยู่ที่โรงพัก กลับไปอยู่จอดที่อู่แห่งหนึ่งในนครสวรรค์ เครื่องและอะไหล่รถได้หายไปทั้งหมดเหลือเพียงแต่ซากรถทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า โดยตลอดเวลาได้ติดต่อร้อยเวรในคดีนี้แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด จึงคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากเกิดคำถามขึ้นว่า ตำรวจว่ามีสิทธิ์อะไรถึงนำรถไปขายได้โดยที่ไม่ยินยอม และต้องการคำตอบ แต่กลับถูกปฏิเสธให้เข้าพูดคุยเสมอ

นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ลุงกับป้ายังได้ร้องเรียนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงเรื่องนี้ แต่เรื่องยังไม่คืบหน้า ซึ่งหากยังไม่ได้รับความเป็นธรรมอีก ก็จะลากรถคันดังกล่าว วนไปในตลาดปากน้ำโพ และลากไปร้องยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเร็วๆ นี้อีกด้วย

ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปสอบถามนายสุพจย์ น้อยวงย์ เจ้าของอู่ ช่างแดง ที่เป็นผู้รับซื้อรถมาชำแหละ เล่าว่า ตำรวจได้บอกให้ไปเอารถจากสถานีตำรวจ ซึ่งมีทั้งหมด 3 คันรวมถึงคันนี้ด้วย จึงไปรับมา ในราคา 2 หมื่นบาท และได้มาชำแหละนำเครื่องยนต์ด้านในขายเป็นอะไหล่ โดยไม่ทราบมาก่อนว่ารถคันนี้เป็นของใครหรือเป็นอย่างไร จนกระทั่งเกิดเรื่องราว ก็ได้นำโครงมาคืนตามคำร้องขอ

ด้าน พ.ต.ท.บุญเชิด จันทร์มณี รองผู้กำกับสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ ชี้แจงกรณีนี้ว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2558 โดยจากการสอบถามร้อยเวรที่รับคดีบอกว่า นายสมพงษ์ได้มาแจ้งให้ตำรวจไปช่วยยึดรถมาเก็บไว้ที่ สภ.นครสวรรค์ เพื่อรอคู่กรณีมทจ่ายเงินคืนให้ครบ ซึ่งก็ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมากว่า 1 ปี ยังไม่สามารถตกลงกันได้ จนกระทั่งตำรวจเองจะมีปรับพื้นที่บริเวณส่วนเก็บรถจึงได้เรียกคู่กรณีคือนายสมพงษ์และนายมานพมาไกล่เกลี่ยกันเพื่อรับรถคืน โดยในวันนั้นนายสมพงษ์มอบอำนาจให้นางอำนวยมุกต์ดา มาแทน และได้มีการทำหนังสือเป็นหลักฐานในการรับรถชัดเจน โดยในหนังสือระบุว่า ทั้งคู่ได้รับรถกลับไปในสภาพสมบูรณ์เหมือนตอนที่ยึดมา และจะมีการจ่ายค่าส่วนต่างที่เหลือเป็นงวดกันตามตกลง พร้อมลงลายมือชื่อด้วย ซึ่งหลังจากนั้นคู่กรณีคือนายมานพจะเอาไปชำแหละ หรือทำอะไรก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่สามารถทำได้ ไม่เกี่ยวข้องกับตำรวจแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่า รถยนต์คันนี้ไม่ใช่ของกลางตามที่ลุงกับป้าหรือสังคมเข้าใจ เนื่องจากไม่ได้ติดคดีอาญาเพียงแต่นำมาฝากจอดไว้เท่านั้น

นอกจากนี้ ยังบอกอีกว่าปมปัญหาที่ลุงป้าออกมาร้องเรียนในครั้งนี้ อาจเกิดความไม่พอใจเมื่อครั้งที่พนักงานสอบสวนเคยเรียกตัวมาสอบปากคำในคดีที่พนักงานร้านแห่งหนึ่งทำการยักยอกเงิน ซึ่งในหลักฐานมีนางอำนวยมุกต์ดา เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่กันไว้เป็นพยาน จึงอาจทำให้เป็นสาเหตุของการเกิดความขัดแย้ง โดยเรื่องนี้ทำให้ตำรวจนครสวรรค์เสียหายมาก ซึ่งจะปรึกษาผู้บังคับบัญชาเพื่อที่จะรวบรวมหลักฐานฟ้องกลับฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน แต่ก็อยากจะฝากบอกลุงกับป้าให้เข้ามาพูดคุยกันและหาแนวทางร่วมกัน เนื่องจากตำรวจพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนเสมอ

“ลุงกับป้าจะแห่รถรอบตลาดก็ทำได้เนื่องจากเป็นสิทธิแต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามอยากให้เข้ามาพูดคุยเจรจากันให้เข้าใจทั้งสองฝ่ายเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งและเสื่อมเสียชื่อเสียงกันไปมากกว่านี้” พ.ต.ท.บุญเชิด กล่าว

ข่าวจาก : ไทยรัฐออนไลน์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: