ถึงเวลาหรือยังที่จะบรรจุครูการเงิน-ครูพัสดุ-ครูธุรการ-ครูทะเบียนฯประจำ รร.ถาวร? เสียงโอดครวญจากครูผู้สอนที่ยังไม่ได้แก้ไข!!





 

คนคิดไม่ได้ทำ คนทำไม่ได้คิด

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้มีการจัดทำข้อเสนออย่างต่อเนื่องจากแกนนำของโรงเรียนและแกนนำครูธุรการอย่างน้อยสองเรื่อง ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่พึงประสงค์ตามข้อเสนอแต่อย่างใด


เรื่องแรก การขอให้มีครูสายสนับสนุนการสอนประจำโรงเรียนแบบถาวร เช่น ครูการเงิน ครูพัสดุ ครูธุรการ ครูทะเบียนและวัดผล เป็นต้น เพื่อที่จะให้ผู้ที่มีทักษะเฉพาะในเรื่องดังกล่าวมาทำหน้าที่ และครูผู้สอนจะได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเต็มเวลา เต็มหลักสูตรและเต็มความสามารถ

เรื่องที่สอง มาตรการบริหารและพัฒนาคนภาครัฐ พ.ศ.๒๕๕๗-๒๕๖๑ ของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ซึ่งสาระของมาตรการนี้เกี่ยวข้องกับโรงเรียน ก็คือ เมื่อข้าราชการครูเกษียณอายุลงก็จะไม่มีการคืนอัตราเกษียณดังกล่าวให้กับโรงเรียน ยกเว้น ๑) โรงเรียนมีนักเรียนไม่น้อยกว่า ๒๕๐ คน ๒)โรงเรียนอยู่ในพื้นที่พิเศษ เสี่ยงภัยทุรกันดาร ชนกลุ่มน้อย เกาะ ภูเขาและพื้นที่ในเขตชายแดน ๓) โรงเรียนศึกษาพิเศษ โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ โรงเรียนพระราชดำริ นอกจากนั้นยังกำหนดให้มีการยุบเลิกอัตราลูกจ้างประจำเมื่อเกษียณอายุอีกด้วย


ทั้งสองเรื่องนี้ส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนโดยตรง เรื่องแรก ครูต้องเจียดเวลามาทำการเงิน พัสดุ แนะแนว ทะเบียน ถึงแม้ว่าจะมีครูธุรการมาช่วยก็มีไม่ครบทุกโรงเรียนและเป็นอัตราจ้างรายปี ไม่ค่อยมีขวัญกำลังใจมากนัก เนื่องจากไม่รู้ว่าจะถูกเลิกจ้างเมื่อไร เรื่องที่สองเป็นเจตนารมณ์ที่ดีที่ต้องการให้การบริหารงานบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคาดหวังว่าใช้มาตรการนี้แล้ว สพฐ.จะมีการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก เพื่อให้แต่ละโรงเรียนมีนักเรียนไม่น้อยกว่า ๒๕๐ คน แต่ตั้งแต่ประกาศใช้มาตรการนี้จนปีนี้เป็นปีสุดท้ายของมาตรการนี้แล้วก็ตาม นอกจากจะรวมโรงเรียนไม่ได้แล้ว โรงเรียนขนาดเล็ก(นักเรียนตั้งแต่ ๑๒๐ คนลงไป)กลับมีมากขึ้นกว่าเดิม และถึงแม้ว่าในบางปีคณะรัฐมนตรีจะมีมติผ่อนปรนหลักเกณฑ์ดังกล่าว เช่น ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ได้อัตราเกษียณคืนมา ๑,๐๘๕ อัตรา สำหรับโรงเรียนประถมศึกษาและขยายโอกาส ที่มีนักเรียน มากกว่า ๑๒๐ คนขึ้นไป และตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไปจะคืนให้ประมาณ ร้อยละ ๑๐ เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า โรงเรียนจะขาดครูผู้สอนอีกเป็นจำนวนมากถึงแม้จะมีการผ่อนปรนหลักเกณฑ์แล้วก็ตาม หากประเมินเชิงปริมาณอาจเข้าใจผิดได้ว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากสามารถลดจำนวนบุคลากรลงได้ตามเป้าหมาย แต่ถ้าประเมินเชิงคุณภาพแล้วถือว่ามาตรการนี้ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง โรงเรียนขาดครูผู้สอน ขาดนักการภารโรง ซึ่งส่งผลกระทบทางลบต่อคุณภาพผู้เรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


เมื่อนำทั้งสองเรื่องนี้ไปคุยทั้งในระดับนโยบาย นักวิชาการศึกษา รวมทั้งกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการศึกษา(กอปศ.) และ สนช. บางท่าน และในบางครั้งผมก็เคยพาน้องๆธุรการไปยื่นข้อเสนอด้วยตนเอง ซึ่งผู้ใหญ่ทุกท่านที่คุยด้วยต่างก็เห็นความสำคัญ เห็นดีเห็นงามว่าจะต้องมีครูสายสนับสนุนการสอน จะต้องปรับมาตรการบริหารและพัฒนาคนภาครัฐของ คปร. แต่เมื่อถึงระดับปฏิบัติซึ่งต้องเป็นผู้ทำเรื่องเสนอต่อผู้มีอำนาจกลับไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด อ้างว่า “เป็นไปไม่ได้บ้าง” “เจ้านายไม่ได้สั่งบ้าง” แต่ผมกลับคิดว่าเนื่องจากผู้รับผิดชอบเหล่านั้นไม่มีกรอบคิดติดยึดหรือมโนมั่น (mindset)เกี่ยวกับความเดือดร้อนของโรงเรียนและผลเสียต่อคุณภาพนักเรียนแต่อย่างใด ประกอบกับผู้บริหารของ สพฐ.ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง เลยเข้าทำนอง “คนคิดไม่ได้ทำ คนทำไม่ได้คิด” เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรายังจะกล้าถามหาคุณภาพนักเรียนจากโรงเรียนอีกหรือ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : ดร.รังสรรค์ มณีเล็ก

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: