กว่าจะเป็นกัปตันวงไม่ง่าย!! เปิดเส้นทางเน็ตไอดอล ‘เฌอปรางBNK48’ เคยมีแฟน-มีโซเชียลไว้แค่ส่อง สู่วันที่ต้องอัพเรื่องราวให้แฟนๆเป็นล้านคอยติดตาม!!





 

เป็นวงไอดอลกรุ๊ปที่กำลังมาแรงสุดในยุคนี้ สำหรับวง BNK48 ที่ตอนนี้กำลังโด่งดังจากเพลง “คุกกี้เสี่ยงทาย” ซึ่งหนึ่งในสมาชิกของวงอย่าง เฌอปราง อารีย์กุล ผู้รับตำแหน่งกัปตันวงนั้นเป็นไอดอลสาวคนหนึ่งที่มีผู้ติดตามมากที่สุด ทุกครั้งที่มีงานจับมือของวง เธอถูกจองคิวยาวมากที่สุด แม้จะไม่ใช่คนที่เต้นร้องเก่งที่สุด แต่ด้วยความที่พร้อมจะพัฒนาตัวเองไม่หยุด เลยทำให้เธอมาถึงจุดนี้ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย วันนี้ “ดาวต่างมุม” พร้อมเปิดใจเธอแบบหมดเปลือก

จุดเริ่มต้นเข้ามาเป็น BNK48 ได้อย่างไร?
“จุดเริ่มต้นเลยคือติดตาม AKB48 ที่เป็นวงพี่อยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว พอรู้ว่ามีประกาศเปิด BNK48 ที่ไทย ก็ดีใจมาก ตื่นเต้นมาก เพราะชอบคอนเซปต์นี้ที่ทำให้คนมีความหวัง มองเห็นความพยายาม อยากเอาเขาเป็นตัวอย่างเป็นไอดอลว่า เขายังพยายามทำตามความฝันของเขาเลย ทำไมเราจะไม่ทำตามบ้าง ตอนแรกเขารับสมัครถึงอายุ 18 ปี ซึ่งตอนนั้นหนู 20 แล้ว แต่พอเขาขยายอายุ หลายคนก็เชียร์ว่าไปลองดูไหม เราก็เออไม่เสียหาย ก็เลยลองเข้าไปส่งใบสมัครเล่น ๆ ตัวเองก็ไม่เคยร้องเต้นมาก่อนเลย เพราะเรียนทางสายวิทยาศาสตร์ ตอนเด็ก ๆ เคยเต้น แต่ก็ทิ้งมันไปนานแล้ว ก็คิดว่าไม่ได้มีทักษะด้านนี้เท่าไหร่นัก ไม่คิดว่าจะติด พอผ่านเข้ารอบมาเรื่อย ๆ ก็เริ่มคิดหนักแล้ว มาจนถึงช่วงที่ต้องเซ็นสัญญาก็คิดว่าจะเซ็นดีหรือเปล่า ก็นั่งคิดว่าข้อดี ข้อเสียของการมาอยู่ตรงนี้เป็นอย่างไร เราจะไหวไหมกับการที่เรียนด้วย การมาถึงวันนี้รู้สึกดีใจมาก มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น เป็นปีแรกจริง ๆ แต่มาได้ไกลขนาดนี้กับวงก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร รู้สึกคุ้มมากกับสิ่งที่เราทำไป”

เรื่องการเล่นโซเชียลเห็นว่าทุกคนต้องเริ่มมีผู้ติดตามจากศูนย์หมด?
“ใช่ค่ะ แต่เฌอเป็นคนที่ไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดียขนาดนั้นอยู่แล้ว จะเอาไว้ส่องอย่างเดียว ก็เริ่มต้นจริงจังตอนเป็น BNK48 เมนหลักของ BNK การตลาดเขาเน้นทางโซเชียลเป็นหลัก รูปที่ลงก็จะเป็นการถ่ายชีวิตประจำวันของตนเอง เวลาออกงานว่าทำอะไรบ้าง เล่าในสิ่งที่ตัวเองเป็นค่ะ ที่คนตามเยอะอาจจะเป็นเพราะโพสต์ทุกวันมั้งคะ เลยเป็นจุดหนึ่งที่ไม่เหมือนคนอื่น คือเฌอเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวดกับตัวเอง พอทางบริษัทบอกว่า ช่วงเริ่มต้นนี่ให้โพสต์ทุกวันนะ อัพเดทให้แฟนคลับรู้ เขาไม่ได้มีการกำหนดว่าต้องโพสต์แบบไหน แต่ช่วงแรกต้องเขียนแคปชั่นส่งไปที่บริษัทตรวจสอบก่อน หลัง ๆ ก็เริ่มมีการปล่อยมากขึ้น เพราะผ่านช่วงที่ฝึกฝนมาแล้วระดับหนึ่ง ระวังเยอะมาก เฌอนั่งอ่านสิ่งที่ตัวเองพิมพ์หลายรอบก่อนจะโพสต์แต่ละครั้ง ซึ่งก็ต้องเช็กให้ดีว่ารูปเรานี่เป็นรูปโอเคขนาดไหน เห็นอะไรบ้าง พื้นหลังเช็กทั้งหมด คอนเทนต์แง่บวกแง่ลบ ความถูกต้องของภาษา บางทีเฌอก็ยังพลาดอยู่บ้างก็มีคนมาเตือน อย่างเขียนผิด แล้วก็มีโดนติเรื่องเวลาลงรูปที่ทำหน้าแปลก ๆ ตลก ๆ มันดูเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่โอเค”

อึดอัดมั้ยในการทำตามกฎระเบียบแบบนี้?
“มองว่าจากเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย จนมามีชื่อ BNK48 ต่อท้ายเข้ามา สามารถทำให้ภายใน 1 ปี ยอดคนฟังคนติดตามมันเยอะขึ้นแบบก้าวกระโดดมาก จากร้องเต้นไม่เป็นไม่ได้มีประสบการณ์ทางด้านนี้ พอได้มาเป็น BNK48 ก็แลกกับการต้องอยู่ในกฎ ก็คุ้มกัน”

การได้เป็นกัปตันของวงนี่เขาคัดเลือกจากอะไร?
“เป็นการคัดเลือกจากผู้บริหาร กัปตันคือคนที่ออกหน้ารับสื่อเป็นหลัก คอยคุมสเตจและสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งด้วยวุฒิภาวะเฌอด้วยมั้งเกือบแก่สุดในวง ตั้งแต่สมัยมัธยมเฌอเป็นพวกเด็กกิจกรรมเลยได้ทำโน่นนี่ค่อนข้างเยอะ แล้วนิสัยเป็นคนที่มีระเบียบ เขามองว่าน่าจะเยอะกว่าคนอื่นในวง ก็เลยเลือกให้เป็นช่วงหนึ่งก่อน เพราะตั้งแต่แรกเลยที่เขาให้เป็นคือเป็นกัปตันชั่วคราว โดยการนั่งต่อหน้าสื่อทั้งหมด แล้วสื่อถามว่า ตอนนี้มีกัปตันวงไหม ตอนนั้นก็ยังไม่มีการเลือกใด ๆ แล้วหนึ่งในผู้บริหารก็ชี้มาที่เฌอว่าให้เป็นไปก่อนชั่วคราว เพราะดูทำอะไรได้เยอะดี ภาษาสื่อสารได้ ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่นได้เล็กน้อย อายุได้ก็ให้คอยดูน้อง ๆ แล้วไม่รู้ว่าเขาเห็นยังไง ก็เหมือนกับเป็นพี่ น้อง ๆ ก็จะฟัง ตอนแรกก็เหมือนจะไม่ได้ทำต่อ เพราะมีคนคอมเมนต์ว่าเฌอดุไป ระเบียบจัดเกินไปกับน้อง เฌอก็รู้สึกผิด ถ้าไม่ได้เป็นต่อก็ไม่เป็นไร เพราะจริง ๆ ก็เข้าใจว่าตำแหน่งตรงนี้การเป็นผู้ประสานงาน การเป็นผู้นำมันก็เหนื่อยและมีความกดดัน แต่ได้เป็นมันก็ดีใจ มีความภูมิใจในตัวเอง ที่เราพิสูจน์ให้เห็นว่าเราเหมาะที่จะทำหน้าที่ตรงนี้ แต่ก็เครียดด้วยว่าเราจะทำได้จริง ๆ เหรอ เฌอเองก็ไม่ได้เพอร์เฟกต์ มีผิดกฎด้วยเรื่องถ่ายรูปออกไปข้างนอก คือเราถ่ายกับเพื่อนที่รู้จักกันในวงการคอสเพลย์ เราก็คิดว่าเจอเพื่อนน่าจะสามารถทำได้ แต่ก็มีดราม่าว่าทำไมถ่ายได้ ก็เข้าใจและเรียนรู้ว่ามันก็ไม่ควร กฎเขาห้ามถ่ายรูป ถ่ายเซลฟี่นี่ไม่ได้เลย ถ่ายกับเพื่อนนี่ก็ต้องถ่ายเป็นกลุ่มมากกว่า 3 คน หรือบางทีก็ถ่ายไว้แล้วห้ามโพสต์ แต่ทางที่ดีไม่ถ่ายเลยจะดีกว่า ตอนแรกก็อึดอัด ค่อย ๆ เรียนรู้ปรับตัวจากคนธรรมดาที่ทำอะไรก็ได้มาเป็นคนสาธารณะ ก็ต้องดูว่าอะไรเหมาะสม เพราะบางอย่างที่เรากระทำมันจะส่งผลกระทบถึงแฟนคลับที่ติดตามพวกเราอยู่”

มีผู้ชายมาจีบบ้างไหม?
“ตอนนี้ไม่มีนะคะ เพราะเขาก็รู้ว่าจีบไม่ได้ จีบไปเฌอก็ตัดฉึบเลย จริง ๆ ก่อนเข้าวงการคือก็มีแฟนอยู่แล้ว แต่พอจะเข้าเราก็ตัดสินใจเลิกกันดีกว่า ถ้าเราเป็นคนธรรมดาเรามีแฟนได้ แต่พออยู่ตรงนี้มีคนสนับสนุนเรา ก็ไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง เราก็เลยเลือกที่จะต่างคนต่างไปก่อน ถ้าเวลาเหมาะสมในอนาคตก็ค่อยว่ากันหรือยังไง แต่เราต่างคนต่างเป็นประเภทที่งานเป็นหลัก เขาก็เข้าใจว่ามันคืองาน เป็นสิ่งที่เฌอเลือกที่จะมาอยู่ตรงนี้ ถ้าจะเรียกว่าการมาอยู่ตรงนี้เป็นความเสียสละก็โอเค มันก็เป็นโอกาสที่ไม่ได้มาง่าย ๆ ในความคิดเฌอนะ ถ้ารักกันจริงต้องรอได้ ถ้าไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่เราต่างคนต่างเป็นได้ ยังไงในอนาคตมันก็น่าจะไปไม่รอดเหมือนกัน”

ในวง BNK48 นี่ต้องแข่งกันเองด้วยใช่ไหม?
“ใช่ค่ะ มันเป็นเอกลักษณ์ของวง (หัวเราะ) เราต้องผลักตัวเอง แต่ฉันก็ยังเป็นเพื่อนกันกับคนในวง เราหวังดีซึ่งกันและกันแต่ฉันก็จะมุ่งไปข้างหน้าเหมือนกัน เธอจะตามฉันทันไหม ฉันจะตามเธอทันไหมทุกคนพยายามหมด ทุกคนตั้งใจ แต่ว่ามันก็เป็นโชคหรือเป็นอะไรดลใจคนข้างนอกให้ชอบคนนั้นคนนี้ มันก็มีลึก ๆ แหละ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าอิจฉากัน หนูก็อิจฉาที่น้องได้ทำงานที่ตัวเองไม่ได้ทำ อย่างการไปทำงานต่างประเทศ ฉันก็อยากไปบ้าง แต่มองอีกทางหนึ่งก็คือ เราก็ได้งานอื่นแล้ว บางทีเขาอาจจะเหมาะสมกว่าเราในงานนั้น ๆ เราไม่สามารถเก่งได้หมดทุกด้าน อย่างเฌอนี่ไม่เก่งร้องไม่เก่งเต้นเท่าคนอื่นเลย แต่อาจจะดูโตเป็นผู้ใหญ่หน่อย”

การมาอยู่ตรงนี้พ่อแม่สนับสนุนไหม?
“ตอนแรกคุณพ่อค้านไม่อยากให้มา คุณพ่อถามว่า ไหนว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ จะเรียนไหวเหรอ จะทำได้เหรอ มันไม่จำเป็นขนาดนั้นมั้ง มันไม่ใช่ทางของเรานี่ เฌอก็แบบเราก็ได้โอกาสมานะ เราจะทิ้งโอกาสที่คนพันกว่าคนต้องการเหรอ มันก็ท้าทายดีนะ การมาทำตรงนี้หนูสามารถทำอะไรได้มากกว่าการเป็นนักวิทยาศาสตร์เฉย ๆ ด้วยซ้ำ จริง ๆ ก็อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ว่าได้โอกาสเป็นคนที่เป็นไอดอล มีชื่อเสียง ทำงานวงการบันเทิงมันจะดีไหม อาจารย์ที่ปรึกษาบอกให้ลองเปรียบเทียบคนที่พูดแล้วคนฟังได้เยอะมาก ๆ กับนักวิทยาศาสตร์ที่นั่งทำผลงานไปแต่ไม่ค่อยมีคนอ่าน แต่ถ้าเป็นคนที่มีชื่อเสียง เวลาเขาพูดคนฟังเขามากกว่า เราเป็นคนธรรมดาเราพูดอะไรไปก็ไม่ค่อยมีคนฟัง

ทำงานนี้ต้องมีงานจับมือด้วย พ่อแม่โอเคไหม?
“มันเป็นงานค่ะ ต้องแยกว่ามันเป็นงานที่เราเลือกที่จะมาทำ คุณพ่อคุณแม่ก็กังวล แต่ก็บอกว่า ดูแลตัวเองดี ๆ นะ การรักษาความปลอดภัยเขาก็ดูให้เราพอสมควร มีรั้วกั้น มีการ์ดคอยยืนคุม มันไม่ได้อันตรายขนาดนั้น มันเป็นการจับมือเป็นการให้กำลังใจ แล้วเขาเข้ามาเพราะอยากเจอเรา เขาไม่ได้เดินดูแล้วเจอเราได้ปกติทั่วไป เป็นข้อแตกต่างกับศิลปินท่านอื่น ๆ ด้วยมั้งคะว่าเรามีตัวตนอยู่จริง ๆ ที่เขาเอื้อมถึง มาจับมือได้ ก็เป็นการให้กำลังใจ มันก็แล้วแต่คนจะมอง แต่หน้าที่ของเราคือ มอบกำลังใจผ่านความรู้สึกจากการจับมือ”

ตอนนี้เรียนอะไรอยู่?
“เรียนวิทยาศาสตร์ค่ะ ที่ ม.มหิดล นานา ชาติ อาจจะเป็นข้อดีของตัวเองที่ติดความเป็น
เพอร์เฟกชั่นนิสต์ แต่ก็เรียนรู้แล้วนะว่าบางอย่าง ก็มันก็เพอร์เฟกต์ไม่ได้ แต่เราพยายามทำให้มันสมบูรณ์แบบที่สุด เราก็เลยพัฒนาออกมาเรื่อย ๆ ทำมันให้ดีที่สุดในแต่ละวัน เป็นความตั้งใจตั้งแต่เข้าปีหนึ่งเลยว่า ฉันอยากได้เกียรตินิยม ตั้งเป้าให้ตัวเอง พยายามทำให้ดีที่สุด เกรดมันก็ดีมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่มาเป็น BNK48 เกรดไม่ตก ได้ประมาณ 3.4 ตอนนี้ก็เรียนอยู่ปี 4 ค่ะแต่ว่าเฌอจะต้องจบ 5 ปี เพราะมีวิชาโทฟิสิกส์ วิชาเอกเป็นเคมี ก็มีน้อง ๆ ชอบเราที่เรียนเก่ง เขามองเราอยู่ก็ไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง”

มีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ยังมีอยู่ไหม?
“มีอยู่ค่ะ เรียกว่าการที่ได้มาเป็น BNK เนี่ยเป็นความใฝ่ฝันของเด็กทุกคนมากกว่า หนูว่าเด็กผู้หญิงทุกคนต้องมีความฝันสักครั้งว่า ฉันอยากเดินบนสเตจที่ได้ใส่เสื้อผ้าสวย ๆ มีคนเชียร์ฉัน ซึ่งมันก็เป็นความฝันที่ทำได้แค่ช่วงเวลาตรงนี้เท่านั้น อายุเกินกว่านี้ก็ไม่ได้แล้ว แต่การเป็นนักวิทยาศาสตร์มันเป็นความฝันทั้งชีวิต เป็นเป้าหมายหลัก ระหว่างทางเราได้เสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตตัวเองในเรื่องได้ออกสื่อ ทำงานวงการบันเทิง ได้เป็นบุคคลสาธารณะ แต่พอถึงจุดหนึ่งที่เราตันกับการอยู่ใน BNK แล้ว เราก็จะเริ่มจบการศึกษาตัวเองออกไป ได้เวลาที่จะมอบโอกาสตรงนี้ให้คนอื่นต่อ ถ้ามันมี 16 คน ทุกครั้งที่จะได้ออกซิงเกิ้ล ถ้าไม่มีคนออกไปก็จะไม่มีคนรุ่นใหม่ที่จะได้เข้ามาอยู่ตรงนี้บ้าง”

จุดสูงสุดของการเป็น BNK คืออะไร?
“การได้เป็นเซ็นเตอร์เพลงค่ะ คนที่เด่นที่สุดในเพลง อย่างเพลง “คุกกี้เสี่ยงทาย” จะเป็นโมบาลย์ ทุกครั้งที่จะปล่อยเพลงใหม่ก็จะมีการเลือกคนที่มายืนตรงกลาง มันก็เหมือนแข่งขันกันตลอดเวลาว่า ฉันจะอยู่ตรงไหนได้บ้าง แต่เราก็เป็นเพื่อนกัน ก็รู้ว่าแต่ละคนผ่านอะไรมา เพราะเราก็ซ้อมด้วยกันมา เราก็ช่วยเหลือกันตลอดเวลา อย่าเรียกว่าแข่งกับคนอื่นเลย เราก็แข่งกับตัวเองมากกว่า เพื่อความสบายใจ แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการแข่งขัน”

เรียกว่าหนทางกว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เส้นทางไอดอลสาวของเฌอปรางยังต้องเจออะไรอีกเยอะ แต่สาวคนนี้ก็ถือว่า เป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ดีมาก ๆ เป็นสาวน้อยที่น่าจับตาอีกคนของวงการ.

ขอบคุณข้อมูลจาก : เดลินิวส์ออนไลน์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ๆ
- ไม่สามารถ copy ข้อความจากที่อื่น แล้วนำมา paste ในช่องแสดงความคิดเห็น
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ
error: