เวลาที่ไปยังโครงการ แล้วเราอยากรู้ว่าสามารถยื่นกู้ได้เท่าไร ทีมเซลมักจะถามถึงเงินเดือน แล้วก็ตอบเลยว่ากู้ได้หรือไม่ได้ ซึ่งนั่นเป็นการคิดคำนวณที่ลวกเกินไป คุณอาจจะมีรายได้บางอย่างที่ธนาคารคิดเพิ่มให้นอกจากฐานเงินเดือน หรือคุณอาจจะไม่สามารถกู้สินเชื่อผ่านได้แต่คุณกลับได้ใบจองกลับบ้านมา เอาเป็นว่าในบทความนี้ เรามาดูกันดีกว่าว่ารายได้ที่แท้จริงที่ธนาคารจะนำไปคิดในการปล่อยสินเชื่อมีอะไรบ้าง และให้เท่าไร
[ads]
1. ขั้นที่ 1 แบ่งก้อนรายได้เป็น 3 ก้อน
1.1 ก้อนฐานเงินเดือน
คือเงินเดือนตามฐานเงินเดือนเลย ไม่มีการหักลบประกันสังคม หรือภาษี ก้อนนี้ธนาคารจะคิดให้ 100% จากเงินเดือนในเดือนล่าสุดที่คุณได้
1.2 ก้อนของรายได้อื่นๆ ที่ได้จากบริษัท
ก้อนนี้จะขึ้นอยู่กับว่ารายได้นั้นเป็นรายได้อะไร อัตราในการคิดก็จะแตกต่างกันไป ก่อนนี้เมื่อคำนวณเสร็จแล้วจะเอาไปบวกกับฐานเงินเดือนครับ
1.3 ก้อนหนี้ (ในระบบ)
ก้อนนี้เป็นก้อนที่เอาไว้ลบกับรายได้ด้านบนครับ วิธีคิดไม่ยาก แต่จะมีที่แปลก ๆ หน่อยก็ตรงหนี้บัตรเครดิต
A. ก้อนฐานเงินเดือน
ใช้ฐานเงินเดือนในเดือนสุดท้ายที่ได้รับเลยครับ ขอให้ปรากฏใน Statement ของธนาคาร และมีหลักฐานเป็นสลิปเงินเดือน ก็ใช้ได้เลยครับ ใครที่พึ่งได้ขึ้นเงินเดือนก็อาจจะรอให้เงินเดือนก้อนใหม่ออกก่อนแล้วยื่นกู้ทันทีก็ได้ครับ ก็จะทำให้การยื่นกู้ง่ายขึ้น สำหรับก้อนนี้คิด 100% ไม่ต้องหักลบกับอะไรทั้งสิ้น เก็บก้อนนี้เอาไว้ เดี๋ยวเราเอามาคำนวณในตอนสุดท้าย
B. ก้อนรายได้อื่น ๆ จากบริษัท
คอนเสปของก้อนร้ายได้อื่น ๆ คือ
- – อะไรที่ตายตัวได้เท่ากันทุกเดือน ธนาคารคิดให้ 100%
- – อะไรที่ไม่เท่ากันทุกเดือน ธนาคารเฉลี่ยแล้วคิดให้ 50%
- – อะไรที่ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ธนาคารอาจจะไม่ทำมาคิดให้เลย
1. ค่าคอมมิชชั่น
สำหรับคนที่ทำงานด้านงานขาย ฐานเงินเดือนอาจจะไม่สูง แต่ค่าคอมมิชชั่นอาจจะเยอะมากครับ …แต่ในความเป็นจริงธนาคารมองเงินส่วนนี้เป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน ดังนั้นธนาคารจะคิดให้แค่ 50% โดย..จะนำค่าคอมมิชชั่นทั้ง 6 เดือนล่าสุดมาบวกกัน แล้วหาร 6 = เท่ากับค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ยในแต่ละเดือน
ค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ยต่อเดือน X 50% = รายได้ที่สามารถเอาไปคิดเพิ่มได้
* ควรได้ค่าคอมมิชชั่นทุกเดือนนะครับ ถ้า 1 หรือ 2 เดือนใน 6 เดือนล่าสุดไม่ได้เลย ธนาคาอาจจะไม่คิดให้ทั้งหมด
2. ค่าโอที หรือค่าล่วงเวลา
ต้องได้ทุกเดือนอย่างต่ำ 6 เดือนนะครับ จะเท่าไรก็ได้ ธนาคารจะนำมาเฉลี่ย 6 เดือนแล้วคิดให้ 50% คล้ายกับค่าคอมมิชชั่นเลยถ้ามีเดือนไหนที่ไม่ได้เลย ธนาคารอาจจะมองว่านโยบายของบริษัทมีการปรับเปลี่ยน และธนาคารอาจจะไม่นำมาคิดให้เลยก็ได้ครับ
3. โบนัส
โบนัสเป็นรางวัลที่บริษัทให้เป็นประจำทุกปีครับ แต่บางที่อาจจะให้เป็นทุก 6 เดือน หรือทุก 3 เดือน ก็แล้วแต่นโยบายบริษัท ซึ่งธนาคารคิดให้ครับ ขึ้นอยู่กับว่าโบนัสเหล่านั้นคือโบนัสแบบไหน รายได้ก้อนนี้ธนาคารอาจจะดูย้อนถึง 2 ปีนะครับ
– เอกสารที่ต้องมีหากจะให้ธนาคารคิดรายได้ตัวนี้ด้วยคือใบรับรองโบนัสที่ออกโดยบริษัท หรือเอกสารภงด.91
3.1 โบนัสตามผลกระกอบการ
เป็นรายได้ที่ไม่มั่นคง ธนาคารคิดให้ 50% หรือไม่คิดให้เลยครับ
- – กรณีที่ไม่คิดให้เลยคือมีบางงวดที่ไม่ได้ ซึ่งธนาคารอาจจะดูย้อนหลังถึง 2 ปี
- – หากได้ทุกงวด ธนาคารจะนำโบนัสทั้งหมด มาเฉลี่ยต่อเดือน แล้วคิดให้ที่ 50%
3.2 โบนัสที่ต้องได้แน่นอน
อันนี้เป็นไปตามนโยบายบริษัท โดยในบริษัทที่ให้โบนัสกับพนักงานแบบไม่ต้องดูผลกระกอบการ และจำนวนที่พนักงานได้มีการฟิกเอาไว้ ไม่มีการสวิง ธนาคารจะนำมาเฉลี่ยเป็นรายได้ต่อเดือน แล้วคิดให้เต็ม ๆ 100% เลย
ยกตัวอย่างปีนี้ได้ 120,000 บาท ก็ตกเดือนละ 10,000 บาท เอา 10,000 ไปบวกกับฐานเงินเดือนได้เลย
4. รายได้อื่น ๆ เช่นค่าน้ำมัน ค่าวิชาชีพ ค่าตำแหน่ง ฯลฯ รายได้เหล่านี้ให้คิดเป็น 3 เคส
4.1 ได้ทุกเดือนในอัตราที่คงที่
เช่นค่าตำแหน่ง วิชาชีพ ค่าเสื่อมอุปกรณ์ส่วนตัว(บางที่เหมาจ่ายทุกเดือนเท่ากันหมด) หากได้ทุกเดือน ในอัตราที่เท่ากันตลอด สามารถนำรายได้จำนวนนี้ไปบวกกับฐานเงินเดือนได้เลย ธนาคารคิดให้ 100%
4.2 ได้ทุกเดือน แต่ไม่เท่ากัน
ธนาคารจะนำมาเฉลี่ยหาว่าแต่ละเดือนได้เท่าไร แล้วคิดให้ที่ 50% ครับ รายได้เหล่านี้เช่น ค่าเดินทางที่คิดตามกิโลเมตร ค่าทำงานนอกสถานที่ตามแต่โอกาส ค่าอาหารต่าง ๆ เป็นต้น
4.3 ได้บ้างไม่ได้บ้าง
ถ้าเป็นในบางเดือนได้ บางเดือนไม่ได้ โดยเฉพาะใน 6 เดือนล่าสุด ธนาคารอาจจะไม่นำมาคิด
หลังจากได้รายรับทั้งหมดแล้ว ให้นำมารวมกันเอาไว้ ต่อไปเราจะมาดูเรื่องของหนี้กัน ว่าธนาคารคิดยังไง
C. ก้อนหนี้ และรายจ่าย
ธนาคารไม่คิดก้อนที่เป็นรายจ่ายเช่นค่ากินอยู่ ค่าเดินทาง ค่าหอ(ซื้อคอนโดแล้วก็ไม่ต้องอยู่หอ) ธนาคารจะคิดก้อนที่เป็นภาระหนี้อย่างเดียว โดยธนาคารจะดูข้อมูลจากบูโรเท่านั้น หมายความว่าหนี้นอกระบบธนาคารก็จะไม่นำมาคิดด้วย
1. หนี้ที่มีอัตราผ่อนตายตัว
เช่น สินเชื่อต่าง ๆ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ และการผ่อนของผ่านบัตรเครดิต มีอัตราการผ่อนต่อเดือนเท่าไรก็ตามนั้นได้เลยครับ เช่น ผ่อนบ้าน 10,000/ด. ผ่อนรถ 3,000/ด. ผ่อนทีวีผ่านบัตร 5,000/ด. ก็จัดว่ามีภาระหนี้ต่อเดือน 10000+3000+5000 = 18,000 /เดือน
* ถ้ามีการผ่อนของผ่านบัตรเครดิตค้างอยู่ แนะนำให้ผ่อนให้หมด หรือโปะให้หมดก่อน เพราะจริง ๆ แล้วมันเป็นมูลค่าไม่เยอะหรอก เพียงแต่งวดมันน้อย รายจ่ายต่อเดือนมันก็เลยสูง ซึ่งไม่ค่อยดีกับการกู้สินเชื่อ
2. หนี้บัตรเครดิต
ถ้าคุณจ่ายเต็มจำนวนทุกเดือน ธนาคารถือว่าคุณไม่มีหนี้บัตรเครดิต (อันนี้ไม่นับรวมการผ่อนของ ถ้าผ่อนของจะอยู่ข้อ 1 ด้านบน) แต่ถ้าคุณเน้นจ่ายขั้นต่ำเป็นหลัก หรือจ่ายไม่เต็มคิดตามนี้
((จำนวนที่ไม่ได้จ่าย 6 เดือน) หาร 6 ) x 10% = ภาระหนี้บัตรเครดิตต่อเดือน
ธนาคารไม่ได้มองว่าปกติคุณจ่ายต่อเดือนเท่าไร แต่จะมองว่าคุณมีหนี้บัตรเหลือเฉลี่ยต่อเดือนเท่าไร และต้องจ่ายเป็นขั้นต่ำให้หนี้บัตรเท่าไร
* บัตรเครดิตอาจจะเป็นหนี้ที่ไม่สูง แต่การผ่อนบัตรต่อเดือนอยู่ที่ 10% ซึ่งเป็นถ้าเทียบกับสินเชื่อ จะเป็นการผ่อนที่ใช้ระยะเวลาผ่อนหมด 1 ปีพอดี ถือว่าเป็นระยะเวลาที่สั้น ทำให้จำนวนที่ต้องจ่ายค่อนข้างสูง หากคุณจะกู้สินเชื่อบ้านและคอนโด แนะนำให้ทำดังนี้
– จ่ายเต็มจำนวนเป็นระยะเวลา 6 เดือนก่อนยื่นกู้สินเชื่อบ้านและคอนโด
– หากต้องรีบยื่นกู้ ให้จ่ายเต็มบัตรแบบเต็มจำนวนและทำการยกเลิกบัตรไปเลย ซึ่งคุณสามารถเปิดบัตรใบเดิมได้อีกครั้งทั้นทีหลังจากธนาคารอนุมัติสินเชื่อแล้ว โดยไม่มีผลอะไรกับการอนุมัติสินเชื่อบัตร และวงเงินบนบัตร(อย่าบอกธนาคารว่ากู้สินเชื่อบ้านและคอนโดผ่านก็แล้วกัน)
ขอบคุณภาพเเละเนื้อหาจาก:www.estopolis.com
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ