ซูเปอร์โพล เผย บิ๊กตู่ ทิ้งขาด คนหนุนเป็นนายกฯ มากกว่า ธนาธร
วันที่ 30 ส.ค. ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ประชาชนหนุนใคร กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,645 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25 – 29 ส.ค.ที่ผ่านมา พบว่า
การรับรู้ของประชาชนที่มีผลต่อความน่าเชื่อถือของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้แก่ เมื่อปีที่แล้ว นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ บอกศาลรัฐธรรมนูญว่า ไม่ทราบ จำไม่ได้ เรื่องโอนหุ้น ร้อยละ 90.6 มีผลต่อความน่าเชื่อถือของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในขณะที่ร้อยละ 9.4 ไม่มีผล
นอกจากนี้ เมื่อปีนี้ ช่วงวิกฤตโควิด-19 กลุ่มนายธนาธร ระดมเงินบริจาค แจกประชาชน แต่ไม่ได้แจกเงินทุนที่ได้มาให้หมดแก่ประชาชน ร้อยละ 90.3 มีผลต่อความน่าเชื่อถือของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในขณะที่ร้อยละ 9.7 ไม่มีผล
ในขณะที่ผลประมวลการรับรู้ของประชาชนที่มีผลต่อความน่าเชื่อถือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า เมื่อประชาชนไม่รู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ฯ ทำให้มีกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยเหลือเด็กนักเรียน เยาวชนที่ยากจนพิเศษได้ทุนเรียนฟรี พ่อแม่ผู้ปกครองได้รับพัฒนาทักษะมีงานทำ กำลังขยายถึงปริญญาตรี ร้อยละ 69.7 มีผลในขณะที่ร้อยละ 30.3 ไม่มีผล
นอกจากนี้ เมื่อไม่รู้ว่า รัฐบาลทำให้ประชาชนปลูกไม้มีค่าขายได้ คนอยู่กับป่าได้ตามที่กฎหมายกำหนด และในเมืองมีระบบขนส่งรถไฟฟ้า ความเจริญด้านเทคโนโลยี เกิดขึ้นหลายแห่ง ร้อยละ 68.9 มีผล ในขณะที่ร้อยละ 31.1 ไม่มีผล
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อไม่รู้ว่า โครงการชิมช้อปใช้ ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ ร้อยละ 69.4 มีผลต่อความน่าเชื่อถือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะที่ร้อยละ 30.6 ไม่มีผล นอกจากนี้ เมื่อประชาชนไม่รู้ว่า บัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้ซื้อสินค้าจำเป็นได้ ซื้ออุปกรณ์การเรียนได้ ซื้อวัสดุการเกษตรได้ ซื้อตั๋วรถโดยสาร ตั๋วรถไฟได้ ร้อยละ 69.8 มีผลต่อความน่าเชื่อถือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะที่ร้อยละ 30.2 ไม่มีผล
ที่น่าสนใจคือ เมื่อถามว่า คนที่ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ที่จับต้องได้ ประชาชนได้ประโยชน์มากกว่ากันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.6 ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะที่ร้อยละ 17.1 ระบุ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และร้อยละ 6.3 ระบุอื่น ๆ
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามว่า คนที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี มากกว่ากันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.8 สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะที่ร้อยละ 19.2 สนับสนุน นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และร้อยละ 10.0 ระบุอื่น ๆ
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลสำรวจชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า วาทกรรมทางการเมืองที่แต่ละฝ่ายเร่งปลุกปั่นกระแสกันในขณะนี้ กับผลของการทำงานที่จับต้องได้ของผู้นำทางการเมืองแต่ละฝ่ายกำลังส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของประชาชนต่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี อย่างชัดเจน
โดยพบว่า เมื่อประชาชนจำได้ว่า ปีที่แล้ว นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ บอกต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า ไม่ทราบ จำไม่ได้เรื่องการโอนหุ้น และปีนี้มีเรื่องเงินบริจาคช่วงโควิด-19 ที่แจกเงินให้ประชาชนไม่หมดดังปรากฏตามข่าว กำลังส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ในขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะได้รับผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือเพราะประชาชนไม่รู้เรื่องในผลงานที่ผ่านที่เกี่ยวกับ เด็กและเยาวชน เช่น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาของรัฐบาล ที่ช่วยเหลือเด็กนักเรียน เยาวชนยากจนพิเศษหลายแสนรายทั่วประเทศให้มีทุนเรียนฟรี มีเสื้อผ้านักเรียน อาหารฟรี อุปกรณ์การเรียนฟรี พ่อแม่ผู้ปกครองได้รับการดูแลเรื่องสัมมาชีพ และกำลังจะขยายผลถึงระดับปริญญาตรีมีทุนเรียนฟรีแบบให้เปล่า เรียนจบมีงานทำ ซึ่งการไม่รู้ของประชาชนเหล่านี้มีผลต่อความน่าเชื่อถือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เช่นกัน
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า ถ้าประชาชนจำผลงานที่จับต้องได้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นผลดีส่งผลทำให้ประชาชนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีมากกว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปีที่แล้วมีเรื่อง ไม่ทราบ จำไม่ได้ เรื่องการโอนหุ้น กับปีนี้มีเรื่อง เงินบริจาคช่วงโควิด-19 ที่มีผลต่อความน่าเชื่อถือของประชาชนต่อนายธนาธรฯ
แต่การยุยง ปลุกปั่นกระแสการเมืองที่แรง ๆ ใช้การสื่อสารข้อความการเมืองสั้น ๆ โดนใจคนรุ่นใหม่สามารถปั่นเบี่ยงเบนกลบกระแสแย่ ๆ ของฝ่ายการเมืองได้ และถูกผสมโรงรุมถล่มประเทศไทยจากฝ่ายการเมืองระหว่างประเทศที่กำลังรวมตัวกันสั่นคลอนเสาหลักของชาติในเวลานี้ ดังนั้น ถ้าคนไทยทั้งประเทศรู้เท่าทันไม่ทำตามการออกแบบชักจูงของต่างชาติ บ้านเมืองก็จะไม่วิกฤตแย่ลงไปมากกว่านี้อีก
- ไม่สามารถใส่ชื่อเว็บไซต์ใด ๆ ก็ตาม ลงในช่องแสดงความคิดเห็น
- ระบบสามารถรับข้อความ ได้สูงสุดเพียง 2,000 ตัวอักษร ต่อหนึ่งครั้ง
- ผู้ดูแลเว็บไซต์ จะลบข้อความที่ไม่เหมาะสม และข้อความโฆษณาสินค้า หรือบริการ